การวิ่งถือว่าเป็นกีฬาที่ไม่ยุ่งยากในเรื่องของการใช้อุปกรณ์ ใช้เพียงแค่สองขาเท่านั้นเอง ทุกวันนี้กีฬาวิ่งถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในหมู่ผู้รักสุขภาพทั้งหลาย จะเห็นได้จากสวนสาธารณะขนาดใหญ่หลายแห่ง ที่มีเหล่านักวิ่งหลายรุ่นมารวมตัวกัน ‘การวิ่ง’ ไม่จำกัดอายุหรือเพศ หากใช้ ‘หัวใจ’ นำพาขาทั้งสองข้างก้าวไปข้างหน้าต่างหากล่ะ
แล้วจะวิ่งจ๊อกกิ้งยังไงให้เผาผลาญไขมันส่วนเกินได้มากที่สุด
การวิ่งจ๊อกกิ้งหรือการวิ่งเหยาะ ๆ เป็นการวิ่งเบา ๆ สบาย ๆ ต่างจากการวิ่งมาราธอนที่ใช้ในการแข่งขัน คือเราจะไม่มีเรื่องของเวลามากดดันนั้นเอง หากกำหนดเวลาการวิ่ง ด้วยใจกับความเหมาะสมของร่างกายเราเองมากกว่า ปกติก็อาจจะ 30 นาที หรือ 60 นาที ช่วงแรก ๆ คงต้องสลับด้วยการเดินเร็ว ๆ เพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชินเสียก่อน แต่อย่างลืมว่า ก่อนทำการวิ่งจ๊อกกิ้งทุกครั้ง เราควรวอร์มอัพร่างกายให้พร้อมด้วยนะ สำหรับสายเบิร์นคุณรู้หรือไม่ว่าแค่คุณวิ่งเหยาะ ๆ เพียง 30 นาที ในความเร็ว 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เผาผลาญไขมันได้ถึง 290-365 แคลอรี่ เลยทีเดียว ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพิ่มความมีวินัยให้ตัวเองอีกสักนิดด้วยการวิ่งทุกวัน วันละ 30 นาที เชื่อได้เลยว่า น้ำหนักที่หนักหน่วง ย่อมลดลงอย่างแน่นอน
วิ่งยังไงให้ถูกวิธี เพื่อลดอาการบาดเจ็บเมื่อเกิดข้อผิดพลาด
สำหรับขั้นตอนในการวิ่งจ๊อกกิ้งนั้น ความจริงก็ไม่ได้มีความซับซ้อนเท่าไรหรอก ขึ้นอยู่ที่ความพร้อมของร่างกายของแต่ละคนมากกว่า เรามาดูกันเลยว่า วิธีการง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นนี้ มีอะไรบ้าง
ขั้นตอนแรก ข้อนี้ห้ามมองข้ามทีเดียว นั้นคือการวอร์มอัพร่างกายเตรียมพร้อมก่อนออกวิ่งทุกครั้ง พร้อมกับยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที
ขั้นตอนที่สอง เมื่อร่างกายอบอุ่นได้ที่ก็เริ่มวิ่งกันเลย ควรให้ส้นเท้าได้สัมผัสพื้นก่อนจะลงน้ำหนักทั้งหมดไปที่ฝ่าเท้า และเมื่อปลายเท้าสัมผัสกับพื้น ก็ดีดตัวไปข้างหน้า ลักษณะคล้ายถีบปลายเท้าไปข้างหลัง
ขั้นตอนที่สาม ฝ่าเท้าที่สัมผัสกับพื้นควรตั้งฉากตรงกับหัวเข่า แผ่นหลังยืดตรงเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็งลำตัวขณะวิ่ง ตาควรมองตรงไปเบื้องหน้า
ขั้นตอนที่สี่ ลำแขนทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะและเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็งข้อมือและหัวไหล่มากเกินไป
ขั้นตอนที่ห้า รักษาระดับการหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ ควรหายใจจากช่วงท้อง ไม่หายใจทางปาก
แล้วช่วงเวลาไหนล่ะ ที่เหมาะสำหรับการวิ่งของเรามากที่สุด
หลายคนมักกังวลกับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย แท้จริงแล้วควรเลือกเวลาสะดวกของตัวเราเองมากกว่า หากเป็นคนชอบตื่นเช้าก็เลือกเวลาเช้าตรู่สำหรับการออกไปวิ่ง ข้อดีคือไม่ร้อน กระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าพร้อมรับมือกับวันใหม่
ช่วงเวลาบ่ายก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน คือใช้เวลาวอร์มอัพสั้นกว่า เนื่องจากร่างกายมีการเคลื่อนไหวในกิจกรรมต่าง ๆ มาบ้างแล้ว แต่การออกกำลังในช่วงเวลานี้ ควรควบคุมเรื่องอาหารเที่ยง ที่ไม่ควรเยอะเกินไป
เวลาเย็นหรือค่ำ เป็นเวลายอดนิยมของใครหลายคน เนื่องจากเสร็จภารกิจการงาน ร่างกายได้ผ่อนคลายจากความเครียด การวิ่งจ๊อกกิ้งในช่วงเย็นจึงได้รับความนิยมจากคนทำงานค่อนมาก หลังการวิ่งควรพักอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย
สำหรับกีฬาวิ่งจ๊อกกิ้งนั้นสามารถทำได้โดยง่าย แค่จัดสรรเวลาของตัวเองให้พอดีกับจังหวะชีวิตประจำวัน อย่างน้อยใน 3-4 วันต่อสัปดาห์ ควรพาหัวใจ ปอด กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ไปออกกำลังกายเสียบ้าง เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีนั้นเอง