รู้จักกับเหล่าตัวร้ายในมาร์เวลและความสามารถแบบเกรียนขั้นเทพ

มาร์เวล เป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลกมาเป็นเวลานาน ถือว่าเป็นการ์ตูนคลาสสิคที่ได้รับการยอมรับและสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ เอนิเมชั่น ฯลฯ อย่างหลากหลาย เรื่องราวของเหล่าฮีโร่ที่มาพร้อมพลังวิเศษ ทำให้แฟนๆ ตื่นเต้นและติดตามมาร์เวลได้แบบไม่มีเบื่อ
แต่อย่างไรก็ตาม ฮีโร่จะเป็นฮีโร่แบบเต็มตัวไม่ได้ หากขาดวายร้ายในเรื่อง เอกลักษณ์ของมาร์เวลคือการสร้างตัวเอกที่เป็นฮีโร่ และตัวร้ายจอมแสบ โดยมีไฮไลท์ที่การต่อสู่กันระหว่างสองฝ่าย ตรงนี้นี่เองที่ช่วยส่งเสริมให้เรื่องราวน่าสนุกขึ้น ดังนั้นคราวนี้เราจึงอยากจะพาคุณไปรู้จักกับเหล่าวายร้ายจอมป่วนกันบ้าง ซึ่งจริงๆแล้ว คาแรกเตอร์ที่เป็นจอมวายร้ายที่ทั้งแสบทั้งเกรียนในจักรวาลมาร์เวลนั้น มีเยอะมาก นับร้อยตัวเลยทีเดียว แต่ที่จะมาแนะนำให้รู้จักก็มีตัวเด่นๆ ดังต่อไปนี้
โลกิ (Loki) จอมวายร้ายที่มีความเจ้าเลห์เพทุบาย และมีพลังเวทย์มนต์ในระดับเทพเจ้า สามารถย้ายวิญญาณ สร้างภาพลวงตา และสะกดจิตได้ จึงมีแต่ทีมอเวนเจอร์เท่านั้น ที่ต่อกรกับโลกิได้อย่างสูสี
ดร.ดูม (Dr.Doom) แค่ชื่อก็บ่งบอกว่า เป็นวายร้ายที่มีสติปัญญาระดับอัจฉริยะ แล้วก็สร้างความวุ่นวายให้กับเหล่าฮีโร่ไม่น้อยเลย ความสามารถเด่นๆ ของเขาคือ มีเกราะดูดซับพลังงาน สร้างสนามพลังงาน สร้างกองทัพหุ่น Doom Bot ยิงพลังงานและอื่นๆอีกมากมาย
กาแล็คตัส (Galactus) หรือ จอมเขมือบดวงดาว ที่ได้ฉายานี้ก็เพราะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการ กินดวงดาวเป็นอาหาร ทำให้มีพลังเวทย์เยอะมาก แต่ ก็มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับเหล่าฮีโร่อยู่ตลอด
โมเลกุลแมน ( Molecule Man) เป็นตัวร้ายสุดโหด ที่สามารถควบคุมโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตได้ทั้งหมดคือ เขาสามารถสร้างและก็ทำให้สลายไปเลยด้วยตัวเขาเอง เรียกว่า เป็นตัวปัญหาของเหล่าฮีโร่มากเลยทีเดียว
นี่ก็เป็นเพียงบางส่วนของตัวร้ายจากมาร์เวลเท่านั้น ถ้าสนใจอยากรู้จักคาแรกเตอร์อื่นๆ มากกว่านี้ เมื่อมีเวลาว่างใช้อินเตอร์เนต ก็เปลี่ยนจากการเล่นเกม เข้า เว็บแทงบอล มาหาข้อมูลของตัวร้ายในจักรวาลมาร์เวลรวมถึงเหล่าฮีโร่บ้างก็น่าสนใจไม่น้อย

การปรับตัวสู้กระแสดิจิทัล ร้านหนังสือและการจัดสรรพื้นที่ ด้วยข้อเสนอใหม่ที่ให้มากกว่าการอ่าน

หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเมื่อถูกกระแสดิจิทัลบุกรุก ร้านหนังสือที่เคยเป็นแหล่งหนอนหนังสือก็หนีไม่พ้นสถานการณ์นี้เช่นกัน เพราะด้วยการดำเนินชีวิตของลูกค้ายุคใหม่ ที่เข้าสู่โลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา จึงกระทบกับอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์และร้านหนังสือโดยตรง และเป็นเช่นเดียวกันทั่วโลก ทำให้แนวโน้มของธุรกิจร้านหนังสือลดลง ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนผู้ที่ยังยืนยันจะสู้ต่อ ก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด จึงเห็นได้ว่ากลุ่มร้านหนังสือเอง ก็ได้เพิ่มกำลังในการปรับปรุงและพัฒนาไปในเชิงสร้างสรรค์ ที่เทคโนโลยีออนไลน์ยังให้แก่ลูกค้าไม่ได้

การปรับตัวที่ใช้การผสมผสานการให้บริการในแบบออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป หรือเรียกว่า โมเดล “Omni-channel”  ก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกหนึ่ง ที่ร้านหนังสืองัดมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการสู้ศึกกระแสออนไลน์ ด้วยข้อได้เปรียบทางด้าน Physical หรือด้านกายภาพที่ลูกค้ายังสามารถเดินทางมาค้นหาและสัมผัสหนังสือได้ด้วยตัวเอง สามารถพลิกอ่านตัวอย่างของเนื้อหาได้ทีละแผ่น ๆ ก็ยังเป็นความคลาสิกของการอ่านที่ร้านหนังสือยังหยิบยื่นให้กับนักอ่านขาประจำได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เร่งทำการตลาดและนำสินค้าเข้าสู่โลกออนไลน์ขนานกันไป เพื่อที่จะให้ร้านหนังสือนั้นยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นสื่อกลางให้กับผู้อ่าน ได้ในทั้งสองรูปแบบคือออนไลน์และออฟไลน์นั่นเอง

การสร้างความประทับใจ และการให้บริการที่ครบถ้วน คือหัวใจและลมหายใจของร้านหนังสือ

                การปรับแนวทางการให้บริการของร้านหนังสือ ที่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า อย่างเช่นการทำให้ร้านหนังสือมีความเป็น 3rd place คือเป็นสถานที่เป้าหมายลำดับที่สาม ถัดจากบ้านและที่ทำงาน เป็นการสร้างคุณค่าให้กับตัวร้านหนังสือ รวมไปถึงการสร้างวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในหมู่นักอ่าน เช่นการสร้างชุมชนนักอ่านในร้านหนังสือ ตัวอย่างที่โดดเด่นด้านนี้เกิดขึ้นที่มหานครนิวยอร์ก ในร้านหนังสือที่ชื่อว่า Book Court ซึ่งมีการจัดกิจกรรมแทบทุกวัน เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้นักอ่านได้มาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งการเชิญนักเขียนที่เป็นขวัญใจผู้อ่านมาโปรโมทหรือแจกลายเซ็นต์ให้กับแฟน ๆ ที่ติดตามผลงาน สิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้ร้านหนังสือยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักอ่าน และเป็นฐานลูกค้าที่เข้มแข็งในการสนับสนุนความเป็นอยู่ของร้านหนังสือได้ต่อไป

เมื่อได้พยายามปรับตัวในด้านต่าง ๆ เพื่อทำให้ธุรกิจไปต่อได้แล้ว การปรับปรุงร้านให้สวยงาม มีหนังสือหลากหลายประเภท จนกลายเป็นคลังหนังสือ เพื่อเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับนักอ่านทุกวัย ก็เป็นทางออกและเป็นมาตรฐานของร้านหนังสือที่ควรยึดถือไว้  โดยเฉพาะหากร้านหนังสือนั้นมีหนังสือที่หายากไว้บริการ และหนังสือสำหรับนักสะสม ก็ยิ่งทำให้ร้านหนังสือคือสถานที่ที่นักอ่านตัวจริงยังต้องการมีไว้เป็นแหล่งหนังสือคู่ใจได้อีกยาวนาน

 

เคล็ดลับสูตรอาหารไทย เสน่ห์ปลายจวักที่ถูกใจคนทั่วโลก

                ไม่ว่าจะเป็นด้วยรสชาติหรือความพิถีพิถันในการปรุงอาหาร เมนูอาหารของคนไทยมักได้รับรางวัลระดับโลกมาโดยตลอด จากล่าสุดในช่วงต้นปี 2561 สำนักข่าว CNN ได้มีการจัดอันดับ 50 สุดยอดอาหารเมนูเด็ดจากทั่วโลก อาหารไทยอย่างเมนู แกงมัสมั่น ก็คว้าอันดับหนึ่งมาครองได้อย่างภาคภูมิใจ ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีออกปากชื่นชม แถมด้วยเมนูต้มยำกุ้งที่ติดอันดับที่ 8 และพ่วงท้ายตามมาด้วยอันดับที่ 46 ของเมนูส้มตำซึ่งเป็นอีกเมนูประจำชาติที่คนไทยชื่นชอบกันโดยพร้อมเพรียง ด้วยรางวัลที่การันตีความอร่อยในระดับโลกอย่างนี้ อาหารไทยจึงเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในความมีวัฒนธรรมด้านการกินและเป็นเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของชาวไทย

ด้วยเครื่องปรุงรสที่มีความพิเศษและการใส่ใจในขั้นตอนของการปรุงอาหาร อาจเป็นเคล็ดลับที่ทำให้อาหารไทยมีรสชาติที่เข้มข้น หรือตามคำกล่าวเรียกที่ว่า ถึงพริกถึงขิง ถึงรสถึงชาติ ก็เป็นได้ อีกทั้งประเทศไทยมีสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้มากมายไม่น้อยกว่า 30 ชนิด แถมยังเป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอีกต่างหาก ด้วยองค์ประกอบที่เอื้อในการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้ จึงยากที่จะไม่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชื่นชอบการลิ้มลองอาหารเด็ดจากทั่วโลก

เชฟไทย ผู้สร้างสรรค์อาหารไทย ฝีมือไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน

                หากกล่าวถึงอาหารไทยที่อร่อยเด็ดด้วยเคล็ดลับต่าง ๆ คงจะไม่กล่าวถึงเชฟไทยซึ่งเป็นผู้ปรุงอาหารไปเไม่ได้ หากใครชอบติดตามข่าวในการแข่งขันทำอาหารในระดับโลก ก็คงจะพบเชฟไทยติดอันดับและเข้ารอบในการแข่งขันอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นประเทศแถบเอเชียหรือยุโรป เชฟไทยก็มักจะได้รางวัลกลับมาเสมอ ทั้งเชฟรุ่นใหญ่และรุ่นเยาว์ ด้วยฝีมือของเชฟไทยนี่เอง แม้กระทั่งสำนักข่าวอย่าง Munchies/Vice ให้ข้อมูลว่าในประเทศอเมริกา เมืองนิวยอร์ก อาหารไทยเป็นหนึ่งในเมนูที่ชาวนิวยอร์กชอบที่จะเลือกซื้อกลับบ้านหรือสั่งให้ทางร้านมาส่ง เพราะด้วยถูกใจในรสชาติและความอร่อย และด้วยความนิยมนี้จึงทำให้ร้านอาหารไทยมีอยู่แทบทุกย่านในมหานครนิวยอร์ก

จากความโดดเด่น มีอัตลักษณ์ของอาหารไทย ที่นิยมไปไกลถึงต่างแดน จึงเป็นสาเหตุให้รัฐบาลไทยเองนั้น มีการสนับสนุนทั้งในด้านการพัฒนาเยาวชนที่ชื่นชอบในการทำอาหารให้พัฒนาฝีมือเพื่อสร้างชื่อเสียงให้มากขึ้นในระดับโลก ตลอดไปจนถึงการส่งเสริมการเปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้อาหารไทย ทำหน้าที่เป็นเสมือนฑูตทางด้านอาหารที่จะนำมาซึ่งชื่อเสียงและสร้างรายได้ให้กับคนไทยและประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

 

ใครใครก็ชอบเที่ยว มาหนีความวุ่นวาย ไปหายใจเต็มปอด กับขุมทรัพย์งดงามที่ธรรมชาติมอบให้

                ความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่มากมายในแต่ละเดือน สิ่งที่จะชดเชยเวลาและสร้างความสดชื่นสดใสกลับคืนมาในชีวิต ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ลาพักร้อนและออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกล ๆ ด้วยความหลากหลายในรูปแบบของการท่องเที่ยวในปัจจุบัน ที่เฉพาะในประเทศไทย ก็มีมากถึง 12 ประเภทเลยทีเดียว จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่มีการแบ่งแหล่งการท่องเที่ยวตามความสำคัญและสภาพแวดล้อม ทำให้การท่องเที่ยวแต่ละประเภทนั้นมีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน ให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้เลือกเที่ยวตามความชอบ แต่โดยส่วนมากแล้วการท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมคงหนีไม่พ้นการท่องเที่ยวไปกับธรรมชาติ การได้หลีกหนีจากสภาพความวุ่นวายในเมืองที่มีแต่ตึกสูงใหญ่ แล้วมาพบกับพลังแห่งธรรมชาติ จึงเป็นเป้าหมายในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติที่เข้าใจถึงความงดงาม เสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้นี้

การท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ (Nature Based Tourism) นี่เอง เป็นไฮไลท์ของไทยที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 10 ล้านคนจากทั่วโลกในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาท่องเที่ยวในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือ Ecotourism ที่คุ้นหูกันดี คือการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติตามท้องถิ่น นักท่องเที่ยวที่ชอบแนวนี้ก็มักจะมีความชื่นชอบกับการท่องเที่ยวไปกับธรรมชาติที่ผสมผสานไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นนั่นเอง หรือ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเล (Marine Ecotourism) ที่ไม่เพียงชาวต่างชาติชื่นชอบ คนไทยด้วยกันก็นิยมพาครอบครัวไปเที่ยวกัน อย่างเช่น การไปชมแหล่งธรรมชาติทางทะเล เช่น ป่าโกงกาง หมู่บ้านชาวเล หรือ ดำน้ำดูปะการังและปลาต่าง ๆ และอีกรูปแบบที่มีความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism) เช่น การท่องเที่ยวไปชมการทำสวนเกษตร ชมฟาร์มเห็ด ฟาร์มแกะ หรือทุ่งดอกไม้ เหล่านี้ก็กลายเป็นเทรนด์ให้คนรักธรรมชาติได้เลือกไปเที่ยวพักผ่อนได้อย่างดี

การเตรียมตัวไปเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมในแบบสร้างสรรค์

การท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจและความสุขใจ คงเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนหลงใหลและใฝ่ฝันถึง การวางแผนการท่องเที่ยวจึงเป็นส่วนสำคัญมากเช่นกัน ในการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลัง ดังนั้นในการเตรียมตัวสู่การท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ การเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี ไม่รังแกธรรมชาติ และใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเพื่อนร่วมทาง ก็เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรคำนึงถึง ด้วยแนวทางการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การวางแผนการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ เช่น การใช้รถไฮบริดที่ใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือเช่าจักรยานปั่นแทนมอเตอร์ไซต์ การเลือกที่พักที่ใส่ใจธรรมชาติและแม้กระทั่งการปิดไฟปิดแอร์ทุกครั้งที่ออกจากห้องพัก วิธีเลือกและการวางแผนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่คำนึงถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเหล่านี้เอง ที่ช่วยทำให้การท่องเที่ยวสามารถสร้างความสุขใจให้เกิดขึ้นได้จริง ๆ

 

ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ กับชีวิตติด Co-Working Space เข้างานเมื่อตื่น เลิกงานเมื่อไหร่ก็ได้

เมื่อความสะดวกสบายเขยิบเข้ามาใกล้กับชีวิตเราในทุกด้าน เพียงแค่หยิบมือถือหรือโน๊ตบุ๊คขึ้นมาทำงานที่ได้รับมอบหมาย การเข้างานแปดโมงเลิกงานห้าโมงเย็น ก็แทบจะเป็นวิถีชีวิตแบบเก่าที่ไม่มีใครทำไปซะแล้ว คนรุ่นใหม่ต้องการอะไรที่ตอบโจทย์ความสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งการฉีกกฎของเวลาการเข้างาน นั่นจึงทำให้เกิด Co-working space ขึ้นเป็นดอกเห็ดในสังคมเมืองหลวงของประเทศไทย จากข้อมูลของภาควิชาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ให้ข้อมูลไว้ว่าในปี 2558 จำนวนธุรกิจ Co-Working Space เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีมากกว่า 40 แห่ง และในปัจจุบันก็น่าจะมีมากกว่าร้อยแห่งแล้ว นี่เป็นจำนวนที่บ่งบอกว่า ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะมีอิสระในการทำงาน ที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ที่เป็นออฟฟิศหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ

ศูนย์รวมของคนที่ใช่ แหล่งค้นพบมิตรภาพใหม่ ๆ

เมื่อสถานที่อย่าง Co-Working space ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เรื่องของสถานที่ทำงานนอกออฟฟิศ แต่อาจสร้างโอกาสในการพบเจอกับเพื่อนใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เดียวกัน หรือทำธุรกิจที่เสริมกันได้ ก็อาจเป็นประโยชน์อีกด้าน ที่ทำให้ลูกค้าชื่นชอบการเข้ามานั่งทำงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันนี้ เพราะลักษณะของกลุ่มผู้ใช้บริการ Co-Working space คือกลุ่มคนที่สามารถบริหารจัดการเวลาของตัวเองได้ ไม่โดนบังคับการเข้างาน หรือมีความยืดหยุ่นในการทำงานนั่นเอง ซึ่งโดยส่วนมากจึงเป็นกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพอิสระ อย่าง Startup หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจและมีความริเริ่มที่จะลงมือสร้างกิจการของตนเอง กลุ่มคนประเภทนี้มักจะใช้เวลาอยู่ที่ Co-Working space นานมาก เพราะต้องการพื้นที่ในการระดมความคิด นัดเจอกลุ่มเพื่อนที่ประกอบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หรือนัดพบที่ปรึกษาของตน เพื่อพัฒนาไอเดียทางด้านธุรกิจกันอย่างเข้มข้น หรืออย่าง กลุ่มคนทำงานฟรีแลนซ์ ก็มักมาเป็นลูกค้าประจำ เพราะนอกจากพื้นที่ในการทำงานที่มีให้แล้ว Co-Working space บางแห่ง ก็มีบริการที่ครบถ้วน คือ มีตั้งแต่ อาหารเช้า ไปจนถึง อาหารค่ำ น้ำ นม ขนม มีพร้อม เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันไปได้ยาว ๆ จนกว่างานจะเสร็จได้เลย

รูปแบบและแนวทางของธุรกิจ Co-Working space จึงเรียกได้ว่าก่อตั้งมาตอบรับกระแสและอาชีพของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การขยายตัวของธุรกิจนี้ ก็ทำให้เกิดการแข่งขันในกลุ่มธุรกิจขึ้นมากเช่นกัน ทำให้แต่ละแห่งต้องมีการลงทุนในการตกแต่งสถานที่เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือจัดโปรโมชั่นลดราคากันมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักความอิสระในการทำงานนั่นเอง