สุราปลอมระบาด ทางการแห่จับแหล่งผลิต ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา ฝั่งมาเลดับแล้ว 15 ศพ

ว่ากันว่าสุราทำให้คนธรรมดากลายเป็นเพื่อนสนิทกันได้ในไม่กี่นาที เพราะฉะนั้นสุราหรือเหล้าเบียร์จึงเป็นที่นิยมกันมาหลายศตวรรษ ตั้งแต่คนในชนชั้นสูงไปจนถึงชนชั้นแรงงาน ทำให้สุรากลายเป็นธุรกิจที่ใครต่อใครก็ปรารถนาจะครอบครองเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงเข้ามามีส่วนในการเป็นเจ้าของด้วยการเก็บภาษีจากธุรกิจที่อยู่กึ่งกลางระหว่างศีลธรรมและทางโลก และด้วยความนิยมของผู้ดื่ม ที่ทำให้กำหนดเพดานและเก็บภาษีได้มหาศาล กลายเป็นรายได้หลักของรัฐไปโดยปริยาย

ด้วยเหตุผลข้างต้นส่งผลให้ผู้ผลิตสุราจำเป็นต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากกำไรเพื่อคงไว้ซึ่งภาษี ทำให้นักธุรกิจหัวหมอเห็นช่องทางนี้ ทำการผลิตสุราปลอมโดยการลอกเลียนแบบทั้งรสชาติและบรรจุภัณฑ์จากบริษัทรายใหญ่ แล้วส่งขายตามห้างร้านในราคาปกติ และที่สำคัญคือไม่เสียภาษี แต่ข้อเสียซึ่งเป็นผลกระทบต่อผู้บริโภคนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสารตั้งต้นที่นำมาผลิตสุรา ซึ่งไม่ได้มาตรฐานและเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้ดื่ม

โดยข่าวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐบุกจับโรงงานผลิตสุราเถื่อนนั้นมีให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของธุรกิจเถื่อนนี้มักเป็นคนต่างประเทศที่รู้ทางหนีทีไล่ดีพอสมควร และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าค้นบ้านต้องสงสัยในซอยเพชรเกษม 69 เป็นบ้านหลังใหญ่มีขนาด 2 ชั้น พบภายในมีคนงานกำลังบรรจุสุราปลอมใส่ขวด จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า เป็นสุราปลอมที่นำมาจากภาคใต้และนำมาผสมกับสุราต่างประเทศ จากนั้นจึงบรรจุในขวดสุรายี่ห้อดังต่าง ๆ ส่งขายตามร้านโชห่วยและร้านขายส่งในกรุงเทพ ฯ ซึ่งกิจการนี้เปิดมาประมาณ 3 เดือนแล้ว และเป็นของนายทุนชาวไต้หวัน

สุราปลอมยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดนั้นพบที่ต่างประเทศไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเรา นั่นคือประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากการดื่มสุราปลอมในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยเปิดเผยว่าผู้เสียชีวิตนั้นถูกพบอยู่หลายสถานที่จากการดื่มเหล้าและเบียร์ ซึ่งมีทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 7 คน

เราไม่สามารถทราบได้ว่าสุราชนิดใดเป็นของจริงหรือปลอมจากการมองแค่ผิวเผิน ดังนั้นการเลือกซื้อสุราจากผู้ขายที่ไว้วางใจได้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยการเลือกห้างร้านที่ได้รับความเชื่อถือ เช่นร้านสะดวกซื้อที่มีใบอนุญาตให้ขายสุราได้อย่างถูกกฎหมาย มีการบ่งบอกถึงเวลาขายสุราอย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าสุราที่ซื้อไปนั้นไม่ใช่ของปลอม

 

 

วิธีรับมือกับการเมืองในออฟฟิศและเพื่อนร่วมงานขี้นินทาทั้งต่อหน้าและลับหลัง

เชื่อว่าหลายคนที่คิดอยากจะลาออกจากงาน ส่วนใหญ่แล้วเหตุผลหลัก ๆ มักไม่ได้มาจากการทำงาน แต่มาจากเพื่อนร่วมงาน เพราะการทำงานร่วมกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ ระหว่างผู้ร่วมงานที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ มีแบ็คกราวน์ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดความต่างทางความคิดและอารมณ์ โดยเฉพาะเรื่องการนินทาและการเมืองระหว่างเพื่อนร่วมงาน ที่ทำให้หลายคนไม่มีความสุขในเวลางาน บางคนมีวิธีรับมือในแบบต่าง ๆ ในขณะที่บางคนใช้วิธีหักดิบโดยการลาออกเพื่อเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม วันนี้เราจะมาดูวิธีรับมือคนขี้นินทาและการเมืองในออฟฟิศ ที่จะทำให้คุณมีความสุขขึ้นในการทำงาน

  1. วางเฉย ไม่ร่วมวงสนทนา

เมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของคุณกำลังนินทาคนในออฟฟิศ ให้คุณรีบลุกหนีและไม่ร่วมวงสนทนาด้วย เพื่อเป็นการแสดงออกว่าไม่ต้องการรับรู้เรื่องนี้ และที่สำคัญการลุกหนีอาจทำให้คุณเป็นเป้าหมายต่อไปในการนินทาของพวกเขาก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะคนขี้นินทาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนินทาอยู่แล้ว จงจำไว้ว่าคนที่นินทาเรานั้นก็เพราะเราไปอยู่ในความสนใจของเขา ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เราสามารถทำได้ดีกว่า หรือเราสวยกว่าเขาจึงหันมาสนใจและพยายามหาข้อบกพร่องของเรา เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น และอย่าลืมว่าคนขี้นินทามักจะก้าวช้ากว่าเราเสมอจึงมีคำว่า “ นินทาลับหลัง ” ดังนั้นจึงควรวางเฉยไม่ต้องไปสนใจและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

  1. ถามตัวเองว่าเราทำผิดอะไร?

เมื่อถูกพิษจากการเมืองในออฟฟิศหรือคนขี้นินทา เราควรมองที่ตัวเองก่อนว่าเราทำผิดอะไร? เช่น มาทำงานสายหรือไม่ ส่งงานตรงเวลาหรือเปล่า หรือมีเรื่องชู้สาวกับใครหรือเปล่า เมื่อทบทวนตัวเองอย่างนี้แล้วพบว่าผิดจริงก็ควรทำการแก้ไขปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ นำคำนินทาเหล่านั้นมาพัฒนาตนเองและคิดเสียว่าเป็นการติเพื่อก่อ แต่ถ้าเราสำรวจตัวเองแล้วยังไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ จากการทำงานก็ควรปล่อยผ่านและทำงานตัวเองต่อไป เพราะบางครั้งการนินทาก็เป็นแค่เรื่องที่พูดขึ้นเพื่อความสนุกของชาวออฟฟิศขี้นินทาเท่านั้นเอง

  1. เอาเวลาคิดมากไปพัฒนาตัวเอง

ปัญหาความเครียดในที่ทำงาน ส่วนมากจากพิษของการเมืองในออฟฟิศนั้นมาจากการนำคำพูดของเพื่อนร่วมงานมาคิดวกไปวนมา จนเป็นปัญหาต่อสุขภาพจิตที่ส่งผลหลายด้าน ๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ควรเสียเวลาไปกับการคิดทบทวนซ้ำ ๆ โดยนำเวลาว่างจากการทำงานไปใช้ในการพัฒนาตัวเองในด้านอื่น ๆ หรือหาช่องทางหาเงินใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และความภาคภูมิใจในตัวเอง

วิธีการรับมือกับเพื่อนร่วมงานขี้นินทาและการเมืองในออฟฟิศก็คือการวางเฉยและไม่ต้องสนใจ พยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด นอกจากนี้ควรนำเวลาว่างไปพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีความรู้หรือรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะดีกว่า และปล่อยให้คนนินทาลับหลังอยู่แต่ข้างหลังในขณะที่เราเดินนำไปไกลแล้วก็น่าจะเป็นการดีที่สุด

 

เปิดประสบการณ์โหดร้ายเข้าใจผิดคิดว่าผอมแล้วสวย อุทาหรณ์ของสาวคลั่งผอม

จะเห็นว่าตลอดมานั้นสื่อหลาย ๆ แขนงไม่ว่าจะเป็นโฆษณาที่ถูกผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสายเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของผู้หญิง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทลดหรือควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีการจ้างดาราหรือนางแบบหุ่นสวยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เมื่อผู้บริโภคได้เสพโฆษณาประเภทนี้เข้าไปมาก ๆ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจว่าตนจะต้องผอมมาก ๆ ถึงจะได้เป็นคนสวย อิทธิพลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างอันตรายต่อเยาวชนหรือคนที่เสพสื่อประเภทนี้เข้าไปมาก ๆ โดยไร้วิจารณญาณ เพราะจะส่งผลให้เกิดการลดน้ำแบบผิดวิธีที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้ในระยะยาว

เรื่องราวอุทาหรณ์นี้เป็นสิ่งที่ถูกแชร์มาจากเว็บไซต์ชื่อดังของไทย โดยมีเด็กสาววัย 18 ปีเท่านั้นเข้ามาเผยแพร่ประสบการณ์เฉียดตายของตัวเองจากโรคคลั่งผอม เนื่องมาจากเธอต้องการมีกล้ามหน้าท้องเหมือนนักแสดงหญิงที่เธอปลื้มจึงพยายามออกกำลังอย่างหนักทุกวันทั้งก่อนนอนและก่อนไปโรงเรียนในตอนเช้า อีกทั้งยังควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดและล้วงคอเอาอาหารออกมาทุกครั้งหลังรับประทานเสร็จ จนน้ำหนักของเธอเหลือเพียง 37 กิโลกรัม ส่วนสูง 161 เซนติเมตร แม่ของเธอสังเกตเห็นกระดูกไหปลาร้าและกระดูกสันหลังที่ขึ้นโง้งจนสั่งให้เธอหยุดออกกำลังกายและหยุดการควบคุมอาหารทุกอย่าง หลังจากนั้นเธอก็ได้ไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาโรคคลั่งผอมนี้

อีกหนึ่งเหตุการณ์เป็นเรื่องของนักเรียนไทยวัยเพียง 14 ปี ที่เป็นโรคคลั่งผอม เนื่องจากถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเรียกว่าไอ้อ้วนทั้ง ๆ ที่ค่า BMI ของเธอก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ การเชื่อคำพูดดของเพื่อน ๆ ครั้งนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องลดน้ำหนักแล้ว โดยเธอใช้วิธีออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอทุกชนิด ควบคุมการกินทุกอย่างด้วยการนับแคลลอรี่จนไม่สามารถทานอาหารปกติได้ เพราะเธอเชื่อว่าการทารแต่อาหารเหลว ๆ จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เร็วกว่าและไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งยังล้วงคออ้วกทุกครั้งหลังจากที่ทานข้าวนอกบ้านกับครอบครัว จนน้ำหนักของเธอลดลงไปถึง 20 กิโลกรัม แต่หลังจากนั้นไม่นานผลกระทบต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นกับร่างกายเธอเนื่องจากความผอม เธอไม่สามารถออกกำลังหนัก ๆ ได้อีกต่อไป เพราะเมื่อหายใจเข้าแรง ๆ ปอดจะขยายจนไปชนกับซี่โครง เธอมีอาการผมร่วง เวียนหัวง่าย เลือดจาง และเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งปัจจุบันเธอรักษาอาการนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

การดูแลสุขภพนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ความกังวลเรื่องสุขภาพหรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไปนั้นก็เป็นผลร้ายที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังสามารถเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคซึมเศร้าที่มีผลต่อสมองและกระบวนการคิดได้อีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรควรอยู่ในความพอดีที่ไม่สุดโต่งจนเกินไป

 

ตอบสนองการขยายตัวของสังคมคนชราด้วยนวัตกรรมที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุ

นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาหลัก ๆ ของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ก็ตาม ปัญหานั้นก็คือการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญและแบกรับเรื่องการรับผิดชอบค่าครองชีพของคนวัยชราที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งจำนวนการเกิดของทารกก็ลดน้อยลง ทำให้มีแนวโน้มของจำนวนประชากรในวัยทำงานที่อาจจะลดลงได้ในอนาคต นอกจากนี้ประเทศสหรัฐอเมริกายังเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบกับภาวะนี้เช่นกัน และดูเหมือนว่าจะหนักหนาสาหัสกว่าญี่ปุ่น เนื่องมาจากประชากรที่มีความต่างเรื่องชาติพันธุ์ ทำให้การเข้าไปจัดการต้องเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติดังที่ผ่าน ๆ มา

สำหรับบ้านเราก็กำลังจะประสบปัญหานี้ไม่ต่างกัน เนื่องจากคนรุ่นใหม่เริ่มกลัวการมีลูก เพราะเกรงว่าจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอันหนักหน่วงในอนาคต อีกทั้งคนไทยรุ่นใหม่ยังกังวลเรื่องการเลี้ยงลูกในสังคมสมัยใหม่ที่พ่อแม่ต้องตามยุคสมัยให้ทันอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้จำนวนการเกิดของเด็กทารกลดน้อยลงไปมากกว่าที่เคยเป็น จนรัฐเริ่มเป็นห่วงเรื่องภาวะขาดแคลนแรงงาน และจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าปัญหาเรื่องการขยายตัวของประชากรสูงอายุจะถูกละเลย เพราะมีการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะอำนวยความสะดวกต่อคนวัยชราอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เปิดเผยว่าได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยขึ้นลงเตียงแบบปรับนั่งได้หรือ “ BEN ” เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียง ให้สามารถลุกออกจากเตียงได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยให้ผู้สูงอายุกล้าที่จะลุกออกจากเตียงนอนได้อย่างมั่นใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ อีกด้วย เนื่องจากได้ทำการวิจัยกับโรงพยาบาลแล้วว่า ผู้ป่วยติดเตียงที่พอจะเคลื่อนไหวได้ และผู้สูงอายุที่ไม่กล้าลุกจากเตียงส่วนใหญ่แล้ว เป็นผลมาจากความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยในขณะลุกขึ้น จนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงในที่สุด ดังนั้นอุปกรณ์ชนิดนี้จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วยหรือคนชราเกิดความมั่นใจ และอยากลุกออกจากเตียงไปทำกิจกรรมตามปกติได้

อีกหนึ่งเรื่องซึ่งเป็นที่น่ายินดีต่อผู้สูงอายุก็คือ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการสนับสนุนให้บริษัท ห้างร้าน หรือสถาบัณต่าง ๆ นำนวัตกรรมหรืออุปกรณ์ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนชรา ได้เข้ามาจดสิทธิบัตร เพื่อตอบสนองต่อประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมคนชราอย่างเต็มตัว เรียกได้ว่าเป็นการเปิดทางให้กับธุรกิจที่ผลิตอุปกรณ์เพื่อคนสูงอายุให้มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น

จะเห็นว่าเมืองไทยเริ่มมีการตื่นตัวเรื่องการขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากการลดลงของอัตราการเกิด อีกทั้งคนสูงอายุทุกคนล้วนเคยเป็นแรงงานที่เป็นผู้พัฒนาประเทศชาติให้ก้าวไกลมาถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นการตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้