คู่มือสร้างความสุขด้วยตัวเอง..สำหรับสาวโสดที่ต้องทำก่อนข้ามปี

ถ้าเมื่อใดที่มองออกไปนอกถนน แล้วพบกับแสงสีตระการตา เสียงเพลงบรรเลงดนตรีในยามค่ำคืน ผู้คนจับกลุ่มร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน นั้นแปลว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังเดินทางมาถึง ถือเป็นสัญลักษณ์ที่กำลังจะบอกให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมกับการส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่

ช่วงเวลาเหล่านี้ คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มวางแผนเพื่อทำอะไรสักอย่าง ที่เป็นการมอบความสุขให้กับตัวเองและคนที่รักหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี หลายคนอาจจะเดินทางไปท่องเที่ยว หลายคนอาจมีนัดกินเลี้ยงสังสรรค์กับบรรดาเพื่อน หลายคนอาจไปทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ เพื่อความเป็นศิริมงคลของชีวิต และอีกหลายคนหรือหลายคู่ ที่มีแผนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่า นั้นคือ ความฝันของสาวหลาย ๆ คน โดยเฉพาะสาวที่ขึ้นชื่อว่า..โสด..อาจจะไม่ต้องถึงขั้นมีงานวิวาห์ที่หวานชื่น ขอแค่เพียงมีใครสักคนอยู่ข้างกันในช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ก็พอแล้ว

ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่เพียงความฝันแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สาวโสดจะหาความสุขในช่วงเวลาแบบนี้ไม่ได้ ฉะนั้น ก่อนสิ้นปีนี้จงลุกขึ้นมาทำตาม 5 เคล็ดลับ ที่สาวโสดจะสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง

1. ดูแลตัวเอง

คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อยู่แบบโสด ๆ สวย ๆ ให้ผู้ชายเสียดายเล่น” แน่นอนว่าผู้หญิงเราเรื่องความสวยความงามของรูปร่างหน้าตา ย่อมต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีคู่รัก ไม่จำเป็นต้องให้ใครดูแล ผู้หญิงเราแข็งแกร่งพอที่จะดูแลตัวเองได้ ก็แค่หันกลับมาบำรุงดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย เลือกกินแต่ของดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว และเมื่อภายนอกสวยหน้ามอง เรื่องใครสักคนก็จะตามมาเอง

2. ดูแลครอบครัว

ในเมื่อไม่ใครให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ก็ลองหันกลับมาดูแลคนในครอบครัวแทน แล้วจะได้รู้ว่า ความรักที่ยั่งยืนและแท้จริง ไม่ได้อยู่ไกลตัวของทุกคนเลย ไม่ต้องตามหาใครสักคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ไหนให้เหนื่อยเปล่า แต่จงให้กอบโกยความรักจากคนในครอบครัวที่มีอยู่จริงเสียดีกว่า

3. สำรวจตัวตน

มีใครเคยสำรวจตัวตนที่แท้จริงของตัวเองบ้างหรือไม่…การที่วันนี้คุณยังไม่มีใคร สาเหตุหลักอาจจะมาจากตัวของคุณเอง คนที่เคยมีความรักมาก่อน ก็ลองกลับไปนึกย้อนคำพูดของคนรักในอดีต คนที่ยังไม่เคยมีความรัก ก็ลองสำรวจนิสัยใจคอ ความคิด ทัศนคติของตัวเอง เผื่อจะค้นพบว่า ตัวเราควรจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเพื่อต้อนรับกับสิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามาในปีหน้า

4. เปิดใจยอมรับ

หรือแท้จริงแล้ว การที่สาวโสดยังไม่มีใครเพราะยังคงจดจำเรื่องราวความรักครั้งเก่า และยังไม่ยอมรับใครใหม่เข้ามาในชีวิต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ขอให้สาวโสดโปรดโยนอดีตอันแสนเจ็บปวดนั้นทิ้ง เพราะเมื่อใดที่ยังแบกมันไว้โอกาสในชีวิตก็จะยิ่งลดน้อยลง ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเจอกับสิ่งเลวร้ายมากแค่ไหนแต่ในเมื่อวันนี้ยังคงมีลมหายใจ นั้นหมายความว่าชีวิตต้องไปต่อ อย่าปิดกั้นตัวเองเพราะอาจเป็นการปิดกั้นชีวิตของคนที่รอคุณอยู่อีกหนึ่งชีวิตก็ได้

5. วางแผนสำหรับปีหน้า

จริงอยู่ว่าไม่มีใครรู้อนาคต แต่ทุกคนสามารถวางแผนอนาคตของตัวเองได้ วันนี้สาวโสดอาจจะยังไม่รู้อนาคตว่าจะมีคนรักเมื่อไร แต่สิ่งที่รู้และทำได้ คือ การวางแผนเพื่อรับมือกับการดำเนินชีวิตต่อไป ลองมองหาหรือทำอะไรใหม่ ๆ เผื่อจะเป็นโอกาสในการค้นพบตัวตนอีกด้าน

ไหน ๆ ก็จะเป็นสาวโสดข้ามปีแล้ว ก็ขอให้เป็นสาวโสดที่มีความสุขมากที่สุดเพราะความสุขที่แท้จริงแล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร แต่มันขึ้นอยู่กับใจของตัวเอง การมีคนรักก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าชีวิตจะมีความสุข ฉะนั้น จงอย่าเอาชีวิตไปแขวนหรือผูกติดกับการแสวงหาใครสักคน เมื่อใดที่ถึงเวลาโชคชะตาจะนำพาเขามาเอง จงอยู่กับความสุขที่เราสร้างขึ้น และความสุขนี้จะไม่มีวันสูญหายไปอย่างแน่นอน

 

แบบเรียน 3 ร. พร้อมรับมือ..คนไม่เป็น กับ คนไม่ทำ…

เชื่อได้ว่าในทุก ๆ องค์กร จะต้องประกอบไปด้วยคนหลากหลายประเภท มีทั้งคนเก่ง คนขยัน คนขี้เกียจ

คนขี้นินทา หรือแม้กระทั่งคนประจบประแจง เพราะต่างคนก็ต่างที่มา ต่างคนก็ต่างความคิด ขึ้นอยู่กับว่า ใคร

เลือกที่จะแสดงออกให้คนอื่นเห็นตัวตนในรูปแบบไหน บางคนก็เลือกที่จะแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

บางคนก็เลือกที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา ทำให้ในองค์กร มักจะเกิด..คนทำงาน.. 2 ประเภทหลัก คือ

…คนทำงานไม่เป็น กับ คนไม่ทำงาน…

คนทำงานไม่เป็น คือ คนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนเลย หรือเป็นคนทำงานอยู่แล้ว แต่ไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือความถนัด ในการทำงานด้านอื่น ที่ตนยังไม่เคยทำ คนเหล่านี้มักจะมีความสามารถในการพัฒนา

ตัวเองให้กลายเป็นคนทำงานเป็น และทำงานเก่งได้ในอนาคต

คนไม่ทำงาน คือ คนที่อาจจะทำงานเป็นอยู่แล้ว แต่ไม่อยากทำ หรือคนที่ทำงานไม่เป็น และไม่มีความพยายามที่จะทำ คนเหล่านี้ต่อให้ได้รับการฝึกฝนมากแค่ไหน เขาก็จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ นอกเสียแต่ว่า เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง

และหากวันหนึ่งเกิดมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับคนเหล่านี้แล้ว คงต้องอาศัยวิธีการรับมือแบบ 3 ร…

1. รักกันจริงต้องสอนกันได้

จริงอยู่ว่าไม่มีใครเกิดมาเก่ง หรือทำอะไรเป็นได้หมดทุกอย่าง แต่ทุกคนคงเคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า

“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น” หากคนที่ทำงานไม่เป็น แต่มีความพยายามในการเรียนรู้ มีความพยายามในการฝึกฝน งานนั้นก็คงไม่ยากเกินความสามารถ คนที่ทำเป็นแล้ว ก็จะต้องปรับเปลี่ยนสถานะตัวเองมาเป็นครู

คอยสอน คอยบอก คอยแนะนำ เพื่อให้เขาสามารถทำงานนั้นได้ด้วยตนเอง และสำหรับคนไม่ทำ ก็ต้องลองเปิดใจ ที่จะเรียนรู้ เพราะหากไม่พร้อมเปิด ก็จะไม่สามารถรับอะไรได้เลย เพราะการเปิดใจ คือ จุดเริ่มต้นที่ยากที่สุด

2. รับรู้ในการกระทำ

ตราบใดที่องค์กรยังมีคนประเภทเหล่านี้ หัวหน้า จึงกลายเป็นบุคคลอันมีหน้าที่รับรู้พฤติกรรมการทำงานของลูกน้องมากที่สุด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว การทำงานคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

คนทำงานไม่เป็น ก็จะยังคงทำไม่เป็นต่อไป งานที่ได้รับมอบหมายก็เกิดความล่าช้า เกิดความผิดพลาด

คนไม่ทำงาน ก็จะโยนงานให้คนที่ทำเป็นรับผิดชอบ คนทำเป็นก็ต้องทนทำอยู่ทุกครั้ง ค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับเพิ่ม แต่ความรับผิดชอบกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดอาการบั่นทอนจิตใจและนำไปสู่การลาออกในที่สุด

เพราะฉะนั้น ผู้เป็นหัวหน้า คือ กุญแจหลักในการปลดล็อคพฤติกรรมดังกล่าว แต่หากหัวหน้าปิดหูปิดตา มองพฤติกรรมลูกน้องไม่ออก ผู้เป็นลูกน้องจึงต้องมีหน้าที่ในการปลดล็อคพฤติกรรมให้กับหัวหน้าแทน

3. ร้ายกลายเป็นดี

การรับมือวิธีสุดท้าย ถ้าในเมื่อเขาไม่ยอมเปิดใจรับในสิ่งที่ตั้งใจจะสอน แถมหัวหน้าก็ยังไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้อีก ทางออกสุดท้ายก็คงต้องบอกว่าให้ “ทำใจ ยอมรับ” หากอยู่ในสถานะของคนที่ทำงานเป็นแล้ว เมื่อใดที่จะต้องทำงานของคนอื่นเพิ่ม ขอให้คิดไว้เสมอว่า การทำงานในครั้งนั้น คือ การพัฒนาศักยภาพของตัวเอง จงถือโอกาสนี้เป็นการฝึกปรือฝีมือไปในตัว พยายามมองเรื่องแย่ ๆ ในครั้งนี้ ให้กลายเป็นเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งในชีวิต และการทำงานจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น

เชื่อได้ว่าในทุกองค์กร จะต้องมีคนทั้ง 2 ประเภทข้างต้นอยู่ทุกที่ อยู่ที่ว่าจะต้องรับมือหรือหาทางออกเมื่อเผชิญกับคนประเภทนี้อย่างไร หากสามารถยอมรับหรือหาทางแก้ไขได้ จะทำให้สังคมการทำงานกลายเป็นสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อไปโดยปริยาย และจะทำให้องค์กรมีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้นไปด้วย

 

“อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องมโน” จิตแพทย์เผยคนไทยยุคนี้เป็นโรคขี้มโนกันมาก

                โรคคิดเอาเอง โรคหลอกตัวเอง โรคหลอกคนอื่น หรือเรียกให้เข้าใจทั่วกันว่า “โรคขี้มโน” นั้นมีสาเหตุมาจากปมด้อยวัยเด็ก ที่ตนเชื่อฝังหัวว่าไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จนพยายามกุเรื่อง สร้างเรื่องขึ้นมาให้ตัวเองดูน่าสนใจ และบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ไม่มีมูลความจริงเอาเสียเลย โดยโรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Pseudologia fantastica หรือโรคที่ผู้ป่วยมักจะอยู่ในจินตนาการของตนเป็นครั้งคราว และแสดงออกต่อผู้อื่นว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง

โดยจิตแพทย์เผยว่าปัจจุบันคนไทยเริ่มเข้าข่ายเป็นโรคชนิดนี้กันมากขึ้น เนื่องมาจากความต้องการสร้างภาพให้ดูดีในโลกออนไลน์ การแสดงออกถึงความสมบูรณ์แบบของตนทางโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้สามารถเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่คนยุคใหม่ป่วยเป็นโรคขี้มโนได้มาก ซึ่งจะเห็นได้จากข่าวที่คนบางกลุ่มหรือบางคนสร้างเรื่องราวขึ้นมาจนกลายเป็นประเด็นใหญ่โต

ถ้าพูดถึงชื่อ “บอย สกล” หลายคนน่าจะร้องอ๋อและจำได้ว่าคน ๆ นี้เป็นนักสร้างเรื่องมืออาชีพ ที่ปลอมตัวว่าเป็นนิสิตจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อน ๆ จนไม่มีใครเอะใจเลย ว่าเขาไม่ได้ศึกษาในสถาบัณแห่งนี้ การโพสต์ข้อความและรูปทางโซเชียลมีเดียที่บ่งบอกว่าเขาเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทำให้หลายคนเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวและญาติพี่น้องของเขาด้วย ที่ไม่มีใครเอะใจเลยว่าบอยกำลังโกหกทุกคนอยู่ จนกระทั่งเรื่องแดงขึ้นจากเพื่อนของเขาเอง ที่ออกมาแฉว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องหลอกลวง อีกทั้งบอยยังเคยโกงเงินค่ากิจกรรมกว่าแสนบาท จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดชลบุรีแล้วชิ่งหนีด้วยการลาออก ส่งผลให้เรื่องของเขาเป็นมหากาพย์ของการมโนอยู่พักใหญ่

อีกหนึ่งเหตุการณ์ของการมโนที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันก็คือ เหตุการณ์ของดาราสาวที่ออกมาแถลงข่าวกับแฟนหนุ่ม ที่กำลังจะมีผลงานทางทีวีว่าตนท้อง จนคนทั้งประเทศต่างก็พากันให้กำลังใจเธอและด่าแฟนหนุ่มยกใหญ่ เรื่องการไร้ความรับผิดชอบ จนกระทั่งชาวเน็ตเริ่มขุดคุ้ยและถามไถ่เรื่องการฝากครรภ์ แต่ก็ถูกดาราสาวปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามอยู่ตลอด ไม่นานความจริงก็ปรากฏขึ้นจากการแฉของเจ้าของฉี่ที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งดาราสาวขอไปตรวจก่อนหน้านี้เพื่อสร้างหลักฐานเท็จ ส่งผลให้ฝ่ายชายต้องจ้างทนายความฟ้องเธอฐานทำให้เสียชื่อเสียง และในที่สุดดาราสาวก็ออกมาสารภาพว่าเรื่องทั้งหมดเธอโกหก เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายชายเลิกรากับเธอ

โรคขี้โกหกหรือโรคขี้มโนนั้นสามารถรักษาให้หายได้ โดยการอยู่กับปัจจุบันและพูดความจริงทุกครั้งที่สื่อสารกับคนรอบข้าง โดยจิตแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดกลับไปรับประทาน แต่ผู้ป่วยเองก็ควรรู้ตัวเองและต้องอยู่กับความจริงเป็นหลัก เพื่อไม่ให้พลั้งเผลอสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาอีก