จะรับมือกับความขัดแย้งในที่ทำงานได้อย่างไร

ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีคนตั้งแต่  1 คนขึ้นไป ทำไมถึงเริ่มจาก  1 คน บางคนมีความขัดแย้งในตัวเองและรับมือไม่ได้ด้วยซ้ำ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติมาก ไปที่ไหนก็เจอ นอนอยู่บ้านคนเดียวก็เจอ แต่เมื่อเกิดขึ้นในที่ทำงาน ในองค์กรที่มีหลายคน หลายทีมที่ทำงานร่วมกันอยู่ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกลายเป็นความรุนแรงทำให้ตัวบุคคลเกิดความท้อใจและสับสน แต่หากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว วิธีการรับมือย่อมมีแน่นอนดังเช่นประโยคที่กล่าวกันอย่างหนาหูว่า ทุกปัญหามีทางออก ถ้าหาทางออกไม่เจอ บางครั้งก็ต้องออกทางเข้า โดยตัวบุคคลที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งสามารถรับมือได้ ดังนี้

  1. ตั้งสติ หลายครั้งความขัดแย้งในที่ทำงานเกิดขึ้นเพราะความคิดเห็นและมุมมองที่มองเรื่องต่าง ๆ ไม่ตรงกัน เราต้องตั้งสติก่อน ว่าเราอยู่ส่วนไหน องค์กรในที่ทำงานเหมือนรูปภาพจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ที่ตัวเราเป็นแค่จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้รูปภาพสมบูรณ์และทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่น ถามตัวเองว่าเรามีความคิด ความรู้สึกต่อสึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร แล้วจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ก่อน
  2. งดดราม่า การดราม่าไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น การดราม่าทำได้อย่างเดียวคือได้เป็นที่สนใจชั่วครู่ แบบแค่แว๊บเดียว ทุกสายตาจะจับจ้องแหล่งกำเนิดดราม่าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามและก็หันไปทำอย่างอื่นต่อ                     การดราม่าไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหา เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นท่ามกลางมนุษย์ที่มีความสามารถในการสื่อสารทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน ย่อมใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกว่าการดราม่าในการสื่อสารได้ หากว่าอดไม่ได้ที่จะดราม่า สามารถโทรไปที่สายด่วนสุขภาพจิตเบอร์ 1323 หรือโทรนัดนักจิตบำบัดตามคลินิคต่าง ๆ เพราะความดราม่าไม่ได้เกิดที่ตัวปัญหาแต่เกิดที่ตัวบุคคล
  3. โฟกัสที่บทบาทของตัวเอง เรามีหน้าที่ในการทำอะไร ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปยังไง เราเองก็มีงานที่ต้องส่ง มีหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องจัดการ แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้น แต่เราต้องไม่ลืมบทบาทหน้าที่ของตัวเอง
  4. เป้าหมายในการทำงานร่วมกันคืออะไร หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในทีม เราต้องมีทบทวนเป้าหมายที่เรามีร่วมกันในตอนแรกที่เริ่มโปรเจคนี้ขึ้น ทุกคนต่างต้องการให้งานสำเร็จ หากโปรเจคนี้สำเร็จ เราย่อมได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน มีผลงานร่วมกัน และสามารถสร้างรายได้ให้องค์กรและตัวเองได้ร่วมกัน
  5. หยุดโจมตีไปที่ตัวบุคคล ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องงานและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน หลายครั้งที่ตัวบุคคลไม่สามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้และต้องการทำร้ายเพื่อนร่วมทีมเพียงเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน อันนี้ต้องกลับไปทบทวนข้อ 3 ว่า การโจมตีไปที่ตัวบุคคลสามารถทำให้ทีมของเราทั้งทีมเข้าใกล้เป้าหมายในการทำงานที่มีร่วมกันหรือไม่
  6. ร่วมกันมองไปที่ทางออก หากมองว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่เดี๋ยวเราก็จะผ่านมันไปได้ด้วยกัน และเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขร่วมกันได้ ทุกคนก็จะสามารถหาทางออกเกี่ยวกับปัญหานี้ร่วมกันได้ ถ้ามองไปที่ทางออก ทางออกก็จะปรากฏขึ้นและชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับทุกคน

เมื่อความขัดแย้งได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะหาทางออกร่วมกันได้ หาทางออกร่วมกันไม่ได้ หรืออยู่ในระยะเวลาของการหาทางออกร่วมกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนในองค์กรคือความเป็นมืออาชีพที่จะไม่ยอมให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมากระทบต่อเนื้องาน และหากไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้ควรขอรับคำปรึกษาจากหัวหน้า หรือผู้ที่มีอำนาจมากกว่าในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา

หึงแฟนมากโดยไม่มีสาเหตุ จะเลิกขี้หึงได้อย่างไร

การหึงเล็ก ๆ น้อย ๆ หึงหวงทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมพูดจา หรือไม่ยอมยิ้มทั้งวันไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจอะไร แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่อาการหึงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เริ่มควบคุมพฤติกรรมและกำหนดทิศทางของความรู้สึกของเราและคนรัก และกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ หรือในหลาย ๆ สื่อต่างได้ ได้นำเสนอข่าวว่าคู่รักทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันถึงชีวิตเพียงเพราะหึงหวง หลายกรณีคนรักเก่าทำร้ายร่างกายคนรักใหม่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นการหึงหวงจะเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไข การหึงหวงจึงถือเป็นอีกภัยหนึ่งที่คุกคามสังคม ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนที่ขี้หึงมาก เราจะสามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร

  1. บอกตัวเองว่า มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เมื่อมันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา เราก็สามารถควบคุมมันได้ บ่อยครั้งที่อาการหึงหวงไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของคนรักหรืออดีตคนรักเสมอไป แต่เกิดขึ้นจากหลุมในใจเราที่เราคิดว่าต้องให้คนอื่นมาเติมเต็มเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะกลัวว่าคนรักเราจะไม่รักเรา คนรักเราจะรักเราน้อยลงเมื่อมองผู้หญิงหรือผู้ชายที่หน้าตาดีกว่า แต่เราก็ต้องรู้ว่าเรามีข้อดีของเรา เรามีสิ่งดี ๆ ในตัวมาก ๆ ที่คนรักเขาโชคดีที่มีเราเป็นแฟน
  2. พิจารณาว่าทำไมเราถึงไม่ไว้วางใจแฟนของตัวเอง บางครั้งหลาย ๆ คนอาจจะมีปัญหาเรื่องการเชื่อใจคนอื่น การเชื่อใจคนอื่นเป็นเรื่องที่ยากมาก อาจจะเป็นเพราะว่าเคยโดนนอกใจมาก่อน ซึ่งหากว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา ก็ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  3. ให้อิสระกับคนรักของตัวเองบ้าง แม้ว่าเขาจะเป็นคนรักของเรา แต่มนุษย์เราย่อมมีความสัมพันธ์แบบอื่น เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว เป็นต้น การที่เราเป็นแฟนเขา เราไม่มีสิทธิในการตัดความสัมพันธ์แบบอื่น ๆ ออกจากชีวิตเขาได้ และไม่มีใครสามารถครอบครองใครได้อย่างแท้จริง เราและแฟนคือมนุษย์สองคนที่มามีความสัมพันธ์กันในรูปแบบหนึ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น การพยายามครอบครองอีกฝ่ายว่าจะต้องเป็นของเราเท่านั้น จะต้องอยู่กับเราคนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องมีเพื่อน ไม่ให้สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานเป็นความสัมพันธ์ที่ริดรอนสิทธิส่วนบุคคลของอีกฝ่าย ในทางตรงข้าม เราเองก็ควรมีสังคมด้านอื่นของเราเองด้วยเช่นกัน
  4. พูดกับคนรักอย่างตรงไปตรงมาเรื่องความรู้สึกของเรา เมื่อความรู้สึกของเราเริ่มเข้มข้นขึ้น ถ้าเราควบคุมอารมณ์ไม่ได้เราอาจจะเผลอทำร้ายคนที่เรารักโดยที่เราไม่รู้ตัว การพูดคุยกันตรง ๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน คุยกันว่าอะไรทำให้เรารู้สึกแบบนี้ ทำไมเรารู้สึกแบบนี้ ดีกว่าการเงียบและประชดเพราะจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายงงมากขึ้นว่าเราเป็นอะไร
  5. ต้องทำอะไรบางอย่างถ้าต้นเหตุของอาการหึงหวงของเราไม่ได้เกิดจากเรา แต่เกิดจากการกระทำของคนรักเราจริงๆ เช่น เราเห็นเขาแอบแชทคุยกับคนอื่น นี่เป็นสถานการณ์ตัวอย่างที่ไม่ดีที่สุดที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้น คือ คนรักของเรานอกใจเราจริง ๆ เราไม่ได้คิดไปเอง ซึ่งถ้าเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นจริงๆ เราไม่ควรโฟกัสไปที่ว่าเราหึงเขายังไงบ้าง หึงมากน้อยแค่ไหน แต่ควรโฟกัสว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร จะจับมือคุยกันและผ่านไปด้วยกันหรือจะจบความสัมพันธ์นี้ลง

แม้ว่าความรู้สึกหรืออาการหึงหวงจะเกิดขึ้นจริง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นและไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาควบคุมพฤติกรรมหรือการแสดงของเรา ถ้าเราไม่ควบคุมความรู้สึกหึงหวงเหล่านั้น ความรู้สึกหึงหวงจะควบคุมเรา เมื่อนั้นเราอาจจะทำสิ่งไม่ดีไปตามอารมณ์ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายมากมาย เมื่อเราเห็นว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาก็ย่อมมีหนทางในการแก้ไขและรับมือ

เมื่อความรักหมดลง จะบอกเลิกแฟนอย่างไร

แม้ว่าความรักจะเป็นสิ่งที่สวยงามแต่ความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในความสัมพันธ์ ซึ่งความเข้าใจ เป้าหมายที่คล้ายกัน การใช้ชีวิต การวางแผนการเงิน ก็มีส่วนอยู่มาก และเมื่อความรักดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่ง จุดที่เราคิดว่าเราไม่สามารถไปต่อกับคนนี้ได้อีกแล้ว บางครั้งการเลิกราก็ดีกว่าการทนอยู่ หากแต่การเป็นฝ่ายบอกเลิกก็ต้องอาศัยความกล้าหาญอยู่มาก และยังทำให้อึดอัดใจ กระวนกระวายใจ หากต้องการบอกเลิกคนรักที่คบอยู่จะต้องทำอย่างไร

  1. ทบทวนการตัดสินใจของตัวเองอย่างละเอียดรอบคอบ การที่เราจะตัดสินใจไปบอกเลิกแฟน เราควรทบทวนความคิดความรู้สึกของตัวเองอย่างละเอียดเสียก่อน เราควรถามตัวเองว่าต้องการเลิกเพราะอะไร เราทำไปเพราะเราหมดรักจริง ๆ หรือเราแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากเขา หรือเราแค่ต้องการประชด หากเราแค่ต้องการประชดหรือเรียกร้องความสนใจ มันมีวิธีอื่นอีกมากมายที่ไม่ใช่การบอกเลิก แต่ถ้าเราทบทวนแล้วว่าเราหมดรักเขาจริง ๆ ความรู้สึกเราหมดแล้วจริง ๆ ก็ไปที่ข้อต่อไปได้เลย
  2. ชัดเจนในทุกคำพูดและการกระทำ เราไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมโลกแต่เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาหยาบคายด้วยเช่นกัน เราสามารถสื่อสารความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมาด้วยถ้อยคำที่สุภาพได้ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องสื่อสารอย่างชัดเจนว่าเราต้องการจบความสัมพันธ์นี้ทำไม เพราะอะไร
  3. เคลียร์ปัญหาค้างคาใจอื่น ๆ ที่มีต่อกัน การบอกเลิกทำให้เกิดคำถามมากมายเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ถูกบอกเลิก เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายค้างคาใจ คุณควรจะเคลียร์ปัญหาทั้งหมดในระหว่างที่บอกเลิกด้วย
  4. ไม่จำเป็นต้องพยายามเอาข้อเสียของอีกฝ่ายมาโจมตี การที่เราอยากเลิกกับคนที่เราคบหามานานมีร้อยแปดเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นไม่เข้าใจกัน ไปกันไม่ได้ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตแบบเดียวกัน เข้ากันไม่ได้อีกต่อไป หรือเราอาจจะไม่รู้สึกรักเขาอีกต่อไปแล้ว ซึ่งแต่ละเหตุผลมันเข้าใจได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะยืดเยื้อเรามากแค่ไหน เราก็ไม่ควรหยิบเอาข้อเสียหรือสิ่งที่เขาทำพลาดไปแล้วในอดีตขึ้นมาโจมตีและตอกย้ำ การกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น การพยายามหาเหตุผลว่าอีกคนแย่ยังไงเพื่อซัพพอร์ตการตัดสินใจของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่น่ารัก
  5. ให้เวลาอดีตคนรักของคุณ การที่เราบอกเลิกอดีตคนรักของเราไป ย่อมเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนอีกคนอยู่มาก กระบวนการในการเยียวยาตัวเองของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนใช้เวลามาก บางคนใช้เวลาน้อย แต่ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเขาก็ต้องการเวลาทั้งสิ้น เราไม่สามารถรวบรวมความกล้าไปบอกเลิกเขาได้ภายในวันเดียว เขาก็ย่อมไม่สามารถตัดใจจากเราได้ภายในวันเดียวเช่นเดียวกัน
  6.  มองไปข้างหน้า ณ ช่วงเวลานี้ เราอาจจะยังจินตนาการไม่ออกว่าการบอกเลิกในครั้งนี้คือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะอาการเสียใจของอดีตคนรักอาจจะทำให้เราลังเล แต่การมองไปที่ข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป การวางแผนอนาคตข้างหน้า แม้จะไม่มีคนนี้อีกต่อไปจะทำให้เราเองก้าวผ่านได้เร็วมากขึ้น

นอกจากนี้การกำจัดสิ่งของที่อาจจะทำให้เรานึกถึงอดีตคนรักก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ได้ง่ายขึ้น และเหนือสิ่งอื่นใดที่กล่าวมาทั้งหมด เราต้องเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และเมตตาอดีตคนรักของเรา แม้ว่า ณ ตอนนี้ความสัมพันธ์จะจบลงแต่เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเซอร์ไพรส์อะไรเรา

เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นในทุก ๆ วัน

ในสังคมที่เครียด ความเครียดของคนในประเทศพุ่งสูงขึ้น อัตราในการฆ่าตัวตายพุ่งสูงขึ้นทุกปี การเมืองก็เครียด เศรษฐกิจก็เครียด เราเองก็สามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้ ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอก สถานการณ์ภายนอกให้ได้ดั่งใจเราได้ เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิด พูด ทำ ได้ แต่เราสามารถควบคุมการรับมือของเรา และการมองโลกของเราได้ ซึ่งความสุขก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง

  1. หาสมุดมาเล่มหนึ่ง จดทุกอย่างที่ทำให้เรายิ้มได้ โดยสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์แล้ว เราจะจดจำสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ง่ายและดีกว่าสิ่งที่ทำให้เราเป็นสุขซึ่งเป็นมานานมากแล้ว เช่น มนุษย์ถ้ำย่อมจำได้ว่าตรงไหนมีงูพิษเยอะ แม้ว่าแถวนั้นดอกไม้จะสวยมาก แต่ก็จำได้ว่างูเยอะก็จะได้ไม่ไปเก็บของป่าแถวนั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแล้วแต่นิสัยบางอย่างยังติดตัวเรามา ซึ่งเราสามารถโปรแกรมสมองเราใหม่ได้ นักเขียนชื่อ Barbara Ann Kipfer ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง โดยรวบรวมเอา 14,000 สิ่งที่ทำให้มีความสุข ( 14,000 things to be happy about ) การทำแบบนี้จะทำให้เรามองเห็นสิ่งความสุขที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยสิ่งที่ทำให้มีความสุขอาจจะเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ หรือเรื่องเล็กน้อย เช่น สอบได้ทุนไปต่างประเทศ หรือก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่สั่งไปวันนี้ได้กุ้งมากกว่าปกติหนึ่งตัว เป็นต้น
  2. ตระหนักว่าความสุขเป็นตัวเลือก เป็นมุมมองของเราที่มองสิ่ง ๆ หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเราสามารถเลือกได้เสมอ เช่น เมื่อเรารอเข้าแถวซื้อบัตรรถไฟฟ้า แล้วมีคนเดินมาชนเราล้ม และมีผู้หญิงคนหนึ่งช่วยผยุงเราขึ้น เราสามารถเลือกจำได้ว่า วันนี้เป็นวันที่ซวยมากมีคนมาชนล้ม หรือวันนี้มีคนใจดีช่วยผยุงเราขึ้นตอนที่เราโดนชน
  3. ให้อภัย การถือโทษโกรธแค้นตัวเองหรือโกรธคนอื่น มีประโยชน์อย่างเดียว คือทำให้ละครหลังข่าวสนุกขึ้น แต่พอมันเกิดขึ้นในใจเรามันร้อนรน มันไม่มีความสุข การให้อภัยแล้วปล่อยวางทำให้มีความสุขได้มากกว่า ทำให้จิตใจสงบได้มากกว่า การไปนั่งเจ้าคิดเจ้าแค้นต้องแก้แค้น ต้องด่ากลับต้องว่ากลับเป็นเรื่องเสียเวลา และเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุและทำให้ทุกข์โดยที่ไม่จำเป็น เวลามีคนมาทำเรื่องแย่ ๆ ก็แค่จำไว้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับเรื่องที่ว่าคนอื่นแย่ยังไง เราจะไม่มีเวลามากพอที่จะมาชื่นชมเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่อย่าสับสนกับการยอมไปเสียทุกเรื่อง เราให้อภัยคนอื่นได้จริงแต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดและทำมันผิดกฏหมาย เรามีสิทธิในตัวเองอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องตัวเองและดำเนินคดีตามกฏหมายให้ถึงที่สุดและไม่จำเป็นต้องยอมความ
  4. ออกกำลังกาย ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่ตามมาจากการออกกำลังกายคือ เราจะได้สังคมใหม่ ได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ เช่น เมื่อคุณไปที่ฟิตเนส ย่อมได้รู้จักเทรนเนอร์ ได้รู้จักคนที่มาในช่วงเวลาเดียวกัน หรือเมื่อไป เล่นแบดมินตัน ก็ย่อมได้รู้จักคนใหม่ ๆ เพราะไม่ใช่กีฬาที่สามารถเล่นได้คนเดียว อย่างน้อยต้องมีผู้เล่น 2 คนขึ้นไป

ตัวอย่างที่กล่าวมาเป็นแค่หนึ่งในร้อยล้านวิธีที่ทำให้เรามีความสุขได้มากขึ้น แต่ละคนมีวิธีในการมีความสุขไม่เหมือนกัน การได้ทดลองนำวิธีใหม่ ๆ ไปใช้ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและหากว่าวิธีที่ได้ลองไปได้ผล ก็กลายเป็นว่าเราสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเองได้ง่ายขึ้นไปอีกขั้น เพราะจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องรอให้มันเกิดขึ้น เช่น ถ้าจะรอให้การเมืองไม่วุ่นวายก่อนแล้วเราค่อยมีความสุข เราไม่รู้เลยว่าเราจะต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราไปออกกำลังกายกับเพื่อนวันนี้ เราก็สามารถมีความสุขเพิ่มขึ้นได้ในวันนี้เลย

รักตัวเองคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่ารักตัวเอง

กลายเป็นคำที่พูดกันอย่างแพร่หลายว่า ต้องรักตัวเอง ทำแบบนี้เพราะไม่รักตัวเอง จะรักคนอื่นได้ต้องรักตัวเองก่อน ถ้ารักตัวเองไม่เป็นก็รักคนอื่นไม่เป็นหรอก จนทำให้หลายคนสงสัยว่าจริง ๆ แล้วรักตัวเองคืออะไร แล้วคนเราไม่รักตัวเองมีด้วยหรอ การรักตัวเองคือการเลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเอง การรู้ว่าตัวเองควรค่าแก่การมีความสุข มีสิทธิที่จะมีความสุข และมีสิทธิที่จะเป็นตัวเองและมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เมื่อประสบความสำเร็จในการเรียนหรือหน้าที่การงาน ใครก็ชอบตัวเองกันทั้งนั้น แต่ถ้ามีวันใดวันหนึ่ง เราไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ เราล้มเหลวในหน้าที่การงานหรือการเรียน และไม่มีคนอยู่เคียงข้าง เราจะสามารถให้อภัยตัวเองในสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นกำลังใจให้ตัวเอง และยังคงรักตัวเองอยู่ โดยไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน หรือผ่านอะไรมา เราก็ยังรักตัวเอง ยอมรับในตัวเองและเคารพตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยการรักตัวเองสามารถเริ่มได้ดังต่อไปนี้

  1. ยอมรับตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น คือยอมรับทุกข้อดีข้อเสียที่มีอยู่ในตัวเรา คนเราทุกคนย่อมมีทั้งข้อดีข้อเสียในตัวเอง การยอมรับตัวเองให้ได้ในทุกมิติเป็นเรื่องสำคัญ จะรู้ได้อย่างไรว่าข้อเสียอันไหนที่เราไม่ยอมรับในตัวเอง สังเกตตัวเองว่าโกรธไหมเวลาคนอื่นหยิบข้อเสียนี้ขึ้นมาพูด เช่น ถ้าเราไปด่าอั้ม พัชราภาว่าไม่สวย อ้วน อั้มย่อมไม่โกรธ เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าเราไปด่าคนที่อ้วนมาก ๆ ว่าอ้วน เราย่อมโดนเขาตบแน่นอน ทำไมเขาถึงโกรธ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ถ้ามีใครมาด่าเราว่าขี้อิจฉา ให้สังเกตตัวเองว่าโกรธไหม ถ้าโกรธแสดงว่าสิ่งที่เขาพูดมีเค้าโครงความจริง ทีนี้เราก็ยอมรับทุกอย่างที่เป็นเราให้ได้
  2. ให้อภัยตัวเองที่บางครั้งก็ทำพลาด เมื่อเรายอมรับตัวเองได้แล้ว เราจะเห็นการกระทำและคำพูดของตัวเองจากมุมมองคนอื่นได้ชัดเจนขึ้น และบางครั้งเราก็ค้นพบว่าเราผิดจริง เราทำพลาดจริงซึ่งมันไม่เป็นไรเลยถ้าคนคนหนึ่งจะทำผิดไปด้วยความพลั้งเผลอ เพียงแต่เราสามารถให้อภัยตัวเองกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถเริ่มใหม่ได้
  3. ให้โอกาสตัวเอง เมื่อเรายอมรับตัวเองและให้อภัยตัวเองได้แล้ว เราก็จะสามารถให้โอกาสตัวเองในการเริ่มใหม่ได้ มองอีกมุมหนึ่งถ้าคนที่เรารักเช่น คนในครอบครัว เพื่อน หรือแฟนทำผิดโดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจ เราจะให้โอกาสพวกเขาใจการเริ่มใหม่ไหม คำตอบคือใช่ ตัวเราเองก็เช่นเดียวกัน
  4. ให้รางวัลตัวเองในเรื่องเล็กน้อยที่ตัวเองประสบความสำเร็จ เช่น แทนที่เราจะรอซื้อรถยนต์ให้ตัวเองเป็นของขวัญเมื่อเรียนจบปริญาตรี และหากตอนนี้เราอยู่ปี 1 เราต้องรออีกถึง 3 ปีกว่า กว่าจะสามารถให้รางวัลตัวเองได้ และมีความสุขกับความสำเร็จของตัวเองได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ตัวเองเมื่อสอบมิดเทอมได้คะแนนที่ต้องการ จะสามารถทำให้เราได้ฉลองความสำเร็จของตัวเองได้บ่อยขึ้น และไม่รู้สึกว่าเรื่องน่ายินดีมันห่างไกลเกินไป

การรักตัวเองเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ และถ้าเรารักตัวเองแล้ว เราจะรู้ว่าต้องปฏิบัติต่อตัวเองอย่างไร ต้องดูแลตัวเองอย่างไร แล้วจะทำให้เรารู้ว่าถ้าเราอยากดูแลคนอื่นเราต้องทำอย่างไร และเมื่อมีเรื่องที่ผ่านเข้ามาเราจะสามารถรับมือต่อเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สามารถพาตัวเองออกมาจากมวลความทุกข์ได้ง่ายขึ้นและสามารถมีความสุขได้ง่ายขึ้น