เซบาสเตียน เวทเทล ถึงเวลาอำลาเฟอร์รารี่ ยุติช่วงเวลา 6 ปี กับม้าลำพอง

นับเป็นข่าวใหญ่ในวงการแข่งรถสูตรหนึ่ง (Formula 1) ในช่วงเวลานี้เลยทีเดียว เมื่อมีการประกาศว่า อดีตแชมป์โลกรถสูตรหนึ่ง 4 สมัยประกาศแยกทางกับสโมสรต้นสังกัด อย่างม้าลำพอง สคูเดเรีย เฟอร์รารี่ ค่ายรถยักษ์หลับจากแดนรองเท้าบูท อิตาลี หลังจากร่วมหัวจมท้ายกันมาถึง 6 ปี ซึ่งเมื่อเกิดข่าวนี้ขึ้นมา มันย่อมส่งผลตามมาอย่างมากมาย สำหรับวงการรถสูตรหนึ่ง

เซบาสเตียน เวทเทล ย้ายเข้ามาร่วมทีมม้าลำพอง ตั้งแต่ปี 2015 จากทีมเรดบูล เรซิ่ง หลังจากเจ้าตัวกวาดแชมป์โลกมาถึงสี่สมัย เก่าต้นสังกัดเดิม และอยากจะหาความท้าทายใหม่ ๆ ประกอบกับทางยักษ์หลับอย่างเฟอร์รารี่ ก็ห่างหายจากการคว้าแชมป์มานานหลายปี นับตั้งแต่ที่เคยครองความยิ่งใหญ่ ในยุคของมิเชล ชูมัคเกอร์ ยอดนักขับชาวเยอรมัน และครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัสแชมป์ ก็ตั้งแต่ปี 2007 ด้วยฝีมือของคิมี่ ไรค์โคเน่น นักขับชาวฟินแลนด์ จากนั้นก็ไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนบนจุดนั้นได้อีกเลย จึงหวังจะดึงตัวนักขับฝีมือดีอย่างเขา เข้ามากอบกู้สถานการณ์ ให้ทีมกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้ง

แต่ตลอดเวลา 6 ปี ที่เวทเทลมาอยู่กับม้าลำพอง เขากลับยังไม่สามารถพาทีม กลับขึ้นไปอยู่บนจุดนั้นได้ดังที่หวัง โดยเข้าใกล้ที่สุดก็คือ อันดับที่ 2 ในปี 2017 และ 2018 ภายใต้ยุคทองของคู่แข่งอย่าง เมอร์ซิเดส ลูอิส แฮมิลตัน นักแข่งชาวอังกฤษ ที่กวาดแชมป์มาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นฝีมือแฮมิลตันถึง 5 สมัย และคู่หูอย่างนิโก้ รอสเบิร์กอีกหนึ่งสมัย ทำให้ดูเหมือนช่วงเวลาในการย้ายสังกัด ของเวทเทลจะดูไม่ไม่ถูกที่ถูกเวลาไปซะหมด และทำให้ให้ยักษ์หลับอย่างเฟอร์รารี่ ก็ยังคงหลับใหลอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

สัญญาของเวทเทล กับทางต้นสังกัดนั้น กำลังจะหมดลงในปี 2020 นี้ และได้มีการออกมาแถลงทั้งสองฝ่ายแล้ว ว่าจะไม่มีการต่อสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งมีข่าวลือมากมายหลายเสียง ทั้งการตกลงค่าเหนื่อยไม่ได้ เพราะทางเฟอร์รารี่ต้องการจะลดค่าเหนื่อยของเขาลง จากเดิมที่เคยรับอยู่ราว 40 ล้านดอลลาร์ หรืออายุสัญญาที่ไม่มากพอ ที่ทางเฟอร์รารี่ต้องการจะยื่น ให้กับนักขับ ในวัยที่เข้าสู่อายุ 32 ปีแล้ว ส่วนทางตัวเวทเทลเอง ก็ได้ออกมาบอกว่า มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทองใด ๆ แต่มันเป็นเรื่องเหตุผลทางกีฬาเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันก็จบลงที่การยุติการทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่ายนั่นเอง โดยมันตามมาด้วยข่าวคราวของการหาตัวแทนของเขา ที่จะเข้ามาจับคู่กับชาร์ล เลอแคร์ นักแข่งดาวรุ่งชาวโมนาโก โดยมีแคนดิเดทนำมาโดย คาร์ลอส ไซนส์ นักขับชาวสเปนจากทีมแมคลาเรน หลังแมคลาเรนดึงตัวแดเนี่ยล ริคคิอาร์โต หนึ่งในตัวเลือกของเฟอร์รารี่ไปก่อนแล้ว และยังมีอันโตนิโอ จิโอวินาซซี่ จากทีมอัลฟ่า โรมีโออีกคน ที่ดูจะมีโอกาสย้ายเข้ามาแทนที่เวทเทล

แฟนกีฬาจ้าวความเร็ว คงจะต้องจับตาดูการโยกย้ายสังกัดของเวทเทลในครั้งนี้ ว่าในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า วัน 2021 จะมีนักแข่งคนไหน เข้ามาแทนที่ของเซบาสเตียน เวทเทล ในทีมม้าลำพอง แล้วมาดูกันต่อว่า คนที่เข้ามาใหม่จะสามารถสานฝัน ในการปลุกยักษ์หลับอย่าง สคูเดเรีย เฟอร์รารี่ ให้ตื่นมาพบเช้าที่สดใสอีกครั้งได้หรือเปล่า

เครดิตภาพ : https://www.bangkokpost.com/sports/1916812/vettel-to-leave-ferrari-after-2020-season

ทางเลือกของผี ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ ตัวเลือกอย่างแรบบี้ มาตอนโด้ ถูกกว่าซานโช่เยอะเลย

เป็นข่าวเกี่ยวโยงกันมาอย่างเนิ่นนาน สำหรับทางสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังเสริมสร้างเกมรุก ให้กับทีมยุคใหม่ ภายใต้การคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ กับปีกดาวรุ่งของดอร์ทมุนด์ อย่างจาดอน ซานโช่ แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเสียที ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเหตุมาจาก ทางสโมสรต้นสังกัดอย่างดอร์ทมุนด์ ก็ไม่ยอมเสียเพชรเม็ดงามของพวกเขาไปง่าย ๆ เหมือนกัน โดยพวกเขาตั้งค่าตัวของซานโช่ไว้สูงถึง 100 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว ทำให้การเจรจาจึงยังไม่คืบหน้าซักเท่าไหร่

ยิ่งเมื่อทั่วทั้งโลกถูกเล่นงานโดย เจ้าไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจทั่วโลกก็โดนโจมตีอย่างหนัก ดังนั้นเม็ดเงินขนาดมหาศาลขนาด 100 ล้านปอนด์ มันก็เสี่ยงเหมือนกันสำหรับการลงทุน เพราะถึงแม้จะเป็นวงการฟุตบอล ที่มีเงินสะพัดอยู่มาก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาทำเงิน ได้เหมือนที่เคยทำได้อีกเมื่อไหร่ โดยเฉพาะการกลับมาแข่งใหม่แบบไร้ผู้ชม อย่างที่หลายที่เริ่มทำ ก็เสียรายได้มหาศาลจากการขายตั๋วไปแล้ว ทำให้การลงทุนในโลกฟุตบอล อาจจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งสุดท้ายทางปีศาจแดง อาจจะไม่กล้าจ่ายค่าตัวขนาดนั้น เพื่อแลกกับนักเตะในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้

ท่ามกลางกระแสข่าวที่ลือไปมา ของผีแดงกับซานโช่ มีอีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อมีข่าวออกมาว่า พวกเขามีอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ แถมมีราคาถูกกว่ากันแบบ ฟ้ากับดินเลยก็ว่าได้ แถมว่ากันว่าผู้ที่ส่งรายงานนี้ ให้โซลชาร์ก็คือปีกระดับตำนานของทีมอย่าง ไรอัน กิ๊กส์อีกด้วย ซึ่งรายชื่อที่กิ๊กส่งขึ้นไปก็คือ ชื่อของแรบบี้ มาตอนโด้ ปีกชาวเวลส์ ของราชันสีน้ำเงิน ชาลเก้ 04 นั่นเอง

ปีกดาวรุ่งวัย 19 ปีคนนี้ มีเส้นทางการค้าแข้งเหมือนกันกับ จาดอน ซานโช่เลยก็ว่าได้ นั่นคือการย้ายออกจากอคาเดมี่ ของเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สู่แผ่นดินเยอรมันเหมือนกัน โดยทางมาตอนโด้ย้ายตามมาหลังจากซานโช่ 2 ปีด้วยกัน และเพียงปีแรกกับทีมราชัน เขาก็แจ้งเกิดได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว และลงช่วยต้นสังกัดไปแล้ว 15 นัด และทำได้ 1 ประตู เขาเป็นผู้เล่นในตำแหน่งปีก ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมคนหนึ่ง ทั้งความเร็ว เทคนิค การเลี้ยงบอลทำลุทะลวงแนวรับของคู่แข่ง รวมถึงการเปิดบอลก็ทำได้ดี ซึ่งดูจากคุณสมบัติที่มี บวกกับวัยที่ยังไม่เต็ม 20 ปีด้วยซ้ำ เชื่อว่าเขายังพัฒนาไปต่อได้อีกเยอะ ซึ่งก็คือส่วนนี้แหละที่เป็นรองซานโช่ เพราะรายแรกนั้นสอบผ่านอย่างสวยงาม ไปแล้วกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนสถาปนาตัวเองขึ้นไปเป็นดาวรุ่งแห่งยุค แต่เมื่อหันมามองที่ราคาค่าตัวของเขาแล้ว ก็ต่างจากซานโช่เป็นสิบเท่าเลยทีเดียว เมื่อมีการคาดการกันว่า ค่าตัวของมาตอนโด้น่าจะอยู่ที่ 10 ล้านปอนด์เท่านั้น ในขณะที่ซานโช่สูงถึง 100 ล้านปอนด์

ผู้ที่จะให้คำตอบสุดท้ายในเรื่องนี้ คงเป็นทางโซลชาร์ นายใหญ่ของทัพผีแดง ว่าจะเอายังไง ถ้าเลือกซานโช่ที่การันตีผลงานแล้ว ก็ต้องจ่ายจำนวนมหาศาล แต่ถ้าจะเลือกเพชรที่ยังไม่เจียรนัย อย่างมาตอนโด้ แล้วใช้ระยะเวลากับฝีมือ ในการขัดเกลาเองซักหน่อย เชื่อว่าเขาก็จะเป็นเพชรเม็ดงามในอนาคตได้เช่นกัน แถมประหยัดได้ตั้ง 90 ล้านปอนด์เลยนะ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ แฟนผีทั้งหลาย

เครดิตภาพ : https://theathletic.com/1676477/2020/03/23/rabbi-matondo-schalke-wales-manchester-city/

สัญญาณจากยานแม่ สะเทือนถึงเรือใบ เอาไงดีเมื่อลาปอร์ตา จะดึงเป็ปกลับขึ้นยาน

ข่าวการลงสมัครแย่งชิงตำแหน่ง ประธานสโมสรเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่าเมื่อไม่นานมานี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนข้ามประเทศมายังเกาะอังกฤษอย่างมาก โดยเฉพาะทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ดูจะได้รับผลกระทบนี้ไปแบบเต็ม ๆ เพราะผู้ลงสมัครชิงตำแห่ง อย่างโจน ลาปอร์ตา ได้กล่าวถึงนโยบายในฤดูกาลหน้าของเขาว่า คือการดึงตัวเป็ป กวาร์ดิโอลา ยอดกุนซือที่ตอนนี้อยู่กับทางเรือใบสีฟ้า หวนกลับคืนมาคุมทีมในถิ่นคัมป์ นู อีกครั้งนั่นเอง

นโยบายการชิงตำแหน่งของลาปอร์ตา ในครั้งนี้มันช่างประจวบเหมาะ กับการที่ทางเรือใบสีฟ้า กำลังประสบปัญหาใหญ่ในเรื่อง การทำผิดกฎไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์ ซึ่งก็คือกฎควบคุมการเงินของทางยูฟ่านั่นเอง จนทำให้พวกเขาอาจจะโดนสั่งห้ามไม่ให้ ลงเล่นในถ้วยสโมสรยุโรป ไปถึงสองฤดูกาล และเป้าหมายหลักของเป็ป กับแมนซิตี้ ก็คือถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นหลัก ดังนั้นหากต้องโดนแบนไปสองปี ก็อาจจะทำให้เขา รวมถึงผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์บางคน ตัดสินใจ อำลาถิ่นเอติฮัตไปก็เป็นได้

หนำซ้ำเมื่อปลายทางที่เปิดรอเขาอยู่ คือประตูของสนามคัมป์ นู ถิ่นของยอดทีมอย่างบาร์เซโลน่า ซึ่งสำหรับเป็ป กวาร์ดิโอลาแล้ว บาร์ซ่าไม่ใช่เป็นเพียงยอดทีม เงินหนา และโด่งดังเพียงเท่านั้น แต่สำหรับเขาที่นี่เปรียบเสมือนบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะตัวเขาเองอยู่กับบาร์ซ่ามาตั้งแต่อายุเพียงแค่ 13 ปี ถ้าเป็นเด็กไทยก็คงอยู่ที่นี่มาตั้งแต่จบ ป. 6 เลยทีเดียว และลงเล่นให้บาร์ซ่าไล่มาตั้งแต่ชุดซี ชุดบี และชุดใหญ่ อยู่ยาวนานถึง 15 ปี คว้าแชมป์กับทีมมากมายหลายถ้วย ตลอดการค้าแข้งของเขากับทีม

แถมการเริ่มต้นเส้นทางการเป็นยอดกุนซือของเขา ก็เริ่มต้นขึ้นที่นี่เช่นกัน โดยเริ่มจากการคุมทีมชุดบี ก่อนที่จะถูกดันขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวเมื่อปี 2008 ซึ่งในปีนั่น บุคคลที่นั่งตำแหน่งประธานสโมสรก็คือ ชายที่ชื่อว่าโจน ลาปอร์ต้านี่แหละ มันจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่จะช่วยโน้มน้าวจิตใจของเป็ปได้เป็นอย่างดี เพราะลาปอร์ต้าคือผู้ผลักดันเขาขึ้นมาสู่ความรุ่งโรจน์ในฐานะกุนซือเลยก็ว่าได้ และมันก็เป็นที่ประจักษ์ แก่สายตาแฟนฟุตบอลทั้งโลกแล้วว่า ทีมบาร์ซ่าภายใต้การคุมทีมของเขานั้น ยอดเยี่ยมเพียงใด เรียกว่าเข้าขั้นไร้เทียมทานก็ว่าได้ ถ้าดูจากสถิติการคุมทีม 4 ปีของเขา ผลงาน 247 นัด ทีมของเขามีเปอร์เซ็นต์ชนะถึง 72.5 % แถมยิงกระจายอีกต่างหาก และเต็มไปด้วยสุดยอดผู้เล่นของโลกฟุตบอล อย่างลิโอเนล เมสซี่,  อันเดรส อิเนียสต้า, ชาบี เอร์นานเดซ เป็นแกนหลักของทีมในยุคนั้น พาทีมกวาด 3 แชมป์ลีก 2 แชมเปี้ยนลีก และบอลถ้วยในประเทศอีกสองสมัยอย่างยิ่งใหญ่  

หลังจากยุคสมัยของเขา บาร์ซ่าก็ได้ทำการเปลี่ยนผู้จัดการทีมมาแล้วหลายคน มีประสบความสำเร็จบ้าง แต่ยังไม่มีใคร พาทีมไปสู่ฟอร์มสุดยอด ได้เหมือนสมัยที่เป็ปคุม ดังนั้นเชื่อว่านโยบายนี้ น่าจะทำให้ลาปอร์ต้า ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น และการพยายามดึงตัวเขามาสู่ทีม จะต้องเกิดขึ้นจริง ๆ คราวนี้ก็ต้องดูว่าทางเรือใบสีฟ้า จะทำอย่างไรเพื่อรั้งตัวเป็ปให้อยู่กับทีมต่อไปได้ เพราะถ้าหากการโดนแบนเกิดขึ้นจริง แล้วตามมาด้วยการสูญเสียเป็ป กวาร์ดิโอลา เชื่อว่าขวัญกำลังใจ ของนักเตะภายในทีมหายไปแน่ และมันจะตามมาด้วยการสูญเสียตัวผู้เล่นตามไปแน่ และกว่าจะกลับมาได้ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากี่ปี คงจะแย่งตัวกันอย่างสนุก และต้องทุ่มสุดตัวกันทั้งสองทีม อย่างแน่นอน

เครดิตภาพ : https://www.matichon.co.th/sport/sportscoop/news_1846167/attachment/pep-guardiola-manchester-city-fa-cup-2019_19tkrz13qec331twovarhbqh2h