แท้จริงแล้วคุณรัก..ผูกพัน..เคยชิน หรืออดทน

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ปัญหาใหญ่ที่ทำให้วัยรุ่นส่วนมากหนักอกหนักใจ ไม่เป็นอันกินอันนอนคงหนีไม่พ้นเรื่องของ ความรัก ไม่ว่าจะแอบรักเขา หรือเขาแอบรักเรา หรือรักซ้อนซ่อนเงื่อน สี่เศร้าห้าเศร้า หรือรักกันมีแต่ปัญหา หรือโดนหมดรักหักอก หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนแต่เป็นประเด็นหลักที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของชีวิต

อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้หมายเฉพาะเจาะจงแต่วัยรุ่นเท่านั้น เรื่องความรักมันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงชีวิต แต่คนที่มีวุฒิภาวะหรือประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่า ย่อมจะมีวิธีการหรือหาทางออกให้กับปัญหานี้ได้ดีกว่าเด็กวัยรุ่น แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะคนบางคนก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับปัญหาเรื่องรัก ๆ ได้ด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะคู่รักที่คบกันมาเป็นระยะเวลานานดูแล้วน่าจะหาทางออกให้กับปัญหาได้ง่ายกว่าคู่รักที่เพิ่งเริ่มคบกันเสียอีก แต่บางคู่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยิ่งคบกันนานมากเท่าไรเวลาเกิดปัญหามักจะมองไม่เห็นทางออก จึงทำให้ต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่เป็นคนยอมอยู่เสมอ เพื่อที่จะให้ความสัมพันธ์เดินหน้าต่อไปได้ จนทำให้ลืมหันกลับมามองว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้น แท้จริงมันคือความรัก ความผูกพัน ความเคยชิน หรือความอดทนกันแน่

ถามใจตัวเองสักครั้งว่ามันคืออะไร

หากใครตอบว่านั้นคือ ความรัก การยินยอมให้อีกฝ่ายจึงเป็นวิธีการที่ถูก เพราะความสมบูรณ์แบบในความรักไม่มีอยู่จริง โลกจึงต้องสร้างใครคนหนึ่งให้เป็นฝ่ายยอมอีกคนหนึ่งเสมอเพื่อสรรค์สร้างความรักให้งดงามตามแบบฉบับของคนสองคน

หากใครตอบว่านั้นคือ ความผูกพัน หรือความเคยชิน ให้กลับไปทบทวนหัวใจดูว่ายังคงมีความรักให้กับอีกฝ่ายบ้างหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ยังรักอยู่ จงกลับไปพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้เป็นเหมือนวันแรกที่รักกันเพราะหากจำต้องคบหากันหรือใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความผูกพัน หรือทนยอมด้วยความเคยชินแล้ว สักวันหนึ่ง ความรักที่เคยสร้างร่วมกันจะค่อย ๆ สลายหายไปอยู่ดี

แต่หากใครตอบว่านั้นคือ ความอดทน ขอให้หาคำตอบต่อว่า อดทนไปเพื่ออะไร หากต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ชีวิตอยู่บนคำว่าอดทน แล้วความรักของทั้งคู่คืออะไรกันแน่ คำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะให้คำตอบมันออกมาในรูปแบบไหน หากต้องคบกันด้วยคำว่าอดทนเพียงคำเดียวจะคบกันไปเพื่ออะไร เพราะความอดทนย่อมมีขีดจำกัด ไม่วันนี้ก็วันหน้าความอดทนก็ต้องสิ้นสุดลง

ฉะนั้น คู่รักทุกคู่ต้องหมั่นสำรวจตัวเองและคนรักว่า ทุกวันนี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมัน คือ ความสุขที่ต้องการจริงแล้วหรือ เรื่องความรักไม่มีใครถูกผิด ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับคนสองคนที่ต้องเรียนรู้กันไปตลอดชีวิต เพราะจิตใจ พฤติกรรม และความคิดของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของการประคองความรักคงต้องอาศัยเครื่องมือหลักอย่างความเข้าใจและการให้อภัยซึ่งกันและกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง ปัญหาความรักใด ๆ ก็คงไม่มีหนทางที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

อารมณ์…ตัวสร้างหรือบ่อนทำลายสถาบันครอบครัว

ครอบครัว..คำ ๆ นี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ทุกคนที่เกิดมาต้องรู้จักเป็นอย่างดี ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะให้คำนิยามไว้ว่าอย่างไร สังคมไทยมักสอนอยู่เสมอว่า สิ่งสำคัญมากที่สุดในชีวิต คือ คนในครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามหรือละเลย สถาบันครอบครัวจึงถือเป็นพื้นฐานแรกในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน แต่ยังคงมีอีกหลายชีวิตที่ต้องมีสภาพของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ หรือแบบที่เรียกว่า บ้านแตกสาแหรกขาด

ปัจจุบันปัญหาครอบครัวที่พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง เกิดขึ้นในสังคมอยู่ทุกวันอย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าลูกกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้วนั้น โอกาสที่ครอบครัวจะแตกแยกก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นมาก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกเป็นวัยรุ่นหรือไม่ แท้จริงแล้วตัวการสำคัญของการเกิดปัญหา คือ อารมณ์หรือความรู้สึกของคนในครอบครัว เสียมากกว่า

ลองคิดดูว่าการที่บ้านแตกเกิดจากอะไร คำตอบคือ คนในครอบครัวไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และอะไรคือสาเหตุของการทะเลาะกัน คำตอบคือ การที่ไม่มีใครยอมใคร คิดแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก และมองข้ามความคิดของคนอื่น พอเมื่อได้ทะเลาะกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันถูกกักเก็บไว้ในจิตใจจะพรั่งพรูออกมาจากปากอย่างไม่มีวันหมด และคำพูดที่ออกมาจะกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้รับฟังเกิดความรู้สึก และแสดงออกมาในรูปแบบของอารมณ์ที่รู้สึกในขณะนั้น แต่ขึ้นชื่อว่าทะเลาะ คงไม่มีคำพูดที่ทำให้คนฟังรู้สึกดีเป็นแน่และยิ่งถ้าผู้พูดหรือผู้ฟังเป็นคนที่ยังไม่สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะ หรือควบคุมอารมณ์และความรู้สึกตัวเองได้ด้วยนั้น ปัญหาบ้านแตกก็คงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

เช่นนั้นแล้ว ในฐานะของคนเป็นพ่อ เป็นแม่ หรือเป็นลูก ควรมีวิธีการตั้งรับเมื่อกำลังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสภาวะของอารมณ์ที่คุกรุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้แสดงตัวตนออกมาในรูปแบบที่ไม่ควรจะเป็นได้ด้วยวิธีการดังนี้

1. อารมณ์ไม่ดี ไม่คุย

ถ้าเมื่อใดที่รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ให้แยกตัวออกมาจากคนรอบข้างทันที เพราะหากยังคงฝืนทนอยู่ต่อไป นั้นจะเป็นช่องโหว่ของการแสดงตัวตนในด้านมืดออกมา จงออกไปสงบจิตสงบใจ หาวิธีการผ่อนคลาย ทบทวนตัวเอง ทบทวนปัญหา หาทางออกและค่อยกลับมาแก้ไขต่อไป

2. เหตุผลสำคัญกว่า

การพูดคุยกันด้วยเหตุผล ย่อมหาทางออกได้ง่ายกว่าการใช้อารมณ์อย่างแน่นอน เพราะการที่คนเราจะตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าเขาต้องมีเหตุผลแล้วภายในใจ หากลูกทำผิด คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ลองเปิดใจรับฟังเขาสักนิด ให้เขาได้อธิบาย ให้เขาได้แสดงความคิดเห็น หากเขาผิดก็ว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนกันไปตามที่เห็นควร หลีกเลี่ยงการดุด่าทุบตี หรือการใช้ความรุนแรง เพราะเขาคือลูก เขาคือคน ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ส่วนคนเป็นลูก เมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดก็ต้องยอมรับในผลการกระทำของตัวเอง และจดจำไว้เป็นบทเรียนเพื่อไม่กระทำผิดซ้ำอีกในอนาคต

3. Social ทำพิษ

หากอยู่ในภาวะของอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก สิ่งที่ไม่ควรกระทำคือ การระบายความรู้สึกลงบนโลกโซเชียล เพราะโลกโซเชียลจะเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้สึกนั้นอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีก จริงอยู่ว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะโพสต์ หรือจะแชร์ อะไรก็ได้ แต่หากกระทำด้วยอารมณ์ นอกจากจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแล้วอาจเป็นการเพิ่มปัญหาอีกด้วย

ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำความเป็นตัวตน บางคนไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวร้ายอะไร แต่มักกระทำสิ่งที่รุนแรงลงไปแบบไม่รู้ตัว เพราะสาเหตุมาจากอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นตัวนำพาทั้งสิ้น และสิ่งที่จะช่วยระงับเพลิงไฟในจิตใจก็คงต้องใช้ สติ เป็นตัวช่วย หากมีสติ ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ หากควบคุมอารมณ์ได้ ความรุนแรงก็จะไม่เกิด และเมื่อความรุนแรงไม่เกิด ก็จะนำมาซึ่งความสุขทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว

 

เลี้ยงลูกในวัยเด็กอย่างไร ให้เชื่อฟัง ไม่อาละวาดเอ็ดตะโร

คนที่กำลังเป็นพ่อแม่ หรือที่เคยผ่านการเลี้ยงลูกมาแล้ว ส่วนใหญ่จะมีปัญหาในการเลี้ยงลูกในวัยเด็ก โดยเฉพาะในเรื่องการไม่เชื่อฟังของลูก เช่น เวลาบอกให้เขาทำอะไร เขาจะเฉยไม่ทำตาม แต่เวลาห้ามไม่ให้ทำอะไรบางอย่างที่เขาอยากทำ เขาจะขัดขืนและอาละวาด และอีกหลาย ๆ พฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่น่ารัก ที่เด็ก ๆ จะแสดงออกมาต่าง ๆ กันไป ของแต่ละครอบครัว

และนี่คือเรื่องจริงที่พ่อแม่หลายคนพบเจอ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอกับลูกที่มีนิสัยแบบนี้  หลายครั้งที่เราเคยไปห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ต่าง ๆ มักจะเจอเด็ก ๆ หลายคนที่ลงไปนอนดิ้นกับพื้น หรือกำลังร้องให้เสียงดังเอ็ดตะโร และเด็กหลายคนก็เลือกที่จะแสดงอาการไม่พอใจ ฉุดกระชากลากดึงกันกับพ่อแม่ เมื่อไม่ได้ดังใจ นี่แหละที่เขาเรียกว่า “ลูกเทวดา”อยากได้อะไร อยากทำอะไร ต้องได้เดี๋ยวนั้น ต้องทำเดี๋ยวนั้น

ลองมาดูวิธีการเลี้ยงลูกให้เชื่อฟัง ตั้งแต่วัยเด็ก ตามหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งอาจจะช่วยคุณได้

วิธีการเลี้ยงลูกให้เชื่อฟังตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยหลักคำสอนของพระเยซู ซึ่งถึงแม้จะเป็นหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ แต่เราชาวพุทธก็นำมาใช้ได้ เพราะทุกศาสนาก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการสั่งสอนลูกตามหลักการของเขา คือ 

1.ต้องเป็นผู้นำ ชัดเจนในบทบาทของตนเอง ใช้อำนาจอย่างสมดุล เพราะการตามใจเด็ก ๆ มากเกินไป จะทำให้เด็กไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่มีนิสัยเอาแต่ใจ และคิดว่าตนเองมีสิทธิเหนือคนอื่นในทุกเรื่อง

2.ต้องอบรมสั่งสอนให้เขาเชื่อฟัง เพื่อให้เกิดการควบคุมอารมณ์ รวมทั้งตั้งกฎและลงโทษถ้าเขา ไม่เชื่อฟัง การทำแบบนี้จะทำให้สถานการณ์แย่ ๆ นอกบ้าน เกิดได้น้อยลงนั่นเอง

3.ต้องชัดเจนในคำสั่ง ไม่ใช่พูดเพียงขอให้เชื่อฟัง เช่น พูดว่า “ช่วยทำความสะอาดห้องให้หน่อยได้ไหม”

การพูดแบบนี้ ลูกจะเข้าใจว่าเป็นแค่การแสดงมารยาทที่ดี และยังทำให้อำนาจของพ่อแม่ลดลงด้วย เด็กจะคิดว่าเป็นแค่คำขอ จะทำหรือไม่ทำก็ได้  ดังนั้นพ่อแม่ต้องสั่งอย่างชัดเจน

4.ต้องเด็ดเดี่ยว อย่าเสียเวลาต่อรองกับลูก ว่าทำไมคุณต้องทำแบบนี้ ให้คำว่า “ใช่” หมายความว่า “ใช่”

และคำว่า “ไม่” หมายความว่า “ไม่”

5.ต้องแสดงความรัก ความห่วงใยลูก และการปกครองในครอบครัวก็ต้องเป็นแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่
แบบเผด็จการ

การสั่งสอนและเลี้ยงลูกให้เชื่อฟังตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ในวัยเด็ก จะทำให้เขาเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ เป็นเด็กดี ไม่อาละวาดเอ็ดตะโร และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีเหตุผล เพราะเขาได้รับการสั่งสอนมาดี ได้รับความรัก ความห่วงใย ความอบอุ่นมาจากพ่อแม่อย่างเพียงพอในวัยเด็ก

 

ของเล่นยุคใหม่ การลงทุนของพ่อแม่ กับความแน่ใจในความคุ้มค่า ที่มาพร้อมกับการเสริมทักษะของลูก

เมื่อถึงวัยพัฒนาการของลูก ๆ คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองต่างก็มองหาของเล่น ที่จะมาเสริมสร้างการพัฒนาสมองของลูกให้ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด จึงเป็นเหตุให้มีงานเทศกาลของเล่นเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก เช่น เทศกาลของเล่นนิวยอร์ก หรือในประเทศไทย เช่น งาน Thailand Toy Expo 2018 (ไทยแลนด์ ทอย เอ็กซ์โป 2018) งานมหกรรมแสดงของเล่นนานาชาติ ที่เพิ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าใจกลางกทม. ที่มีของเล่นใหม่ ๆ มาให้พ่อแม่เลือกชมและต่อยอดไอเดียบรรเจิดในการพัฒนาทักษะของลูก ๆ ไปสู่ความสามารถและทักษะที่ดีเพื่ออนาคตของพวกเค้า และในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกล และการผลักดันความสามารถของเด็ก ๆ ไปสู่ความเป็นอัจฉริยะในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านคณิตศาสตร์ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และด้านต่าง ๆ อีกมาก รวมไปถึงความฉลาดทางด้านอารมณ์ ก็ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองยุคใหม่นี้ ต้องทำการบ้านอย่างดี กับการลงทุนซื้อของเล่นแต่ละชิ้น เพื่อสนับสนุนความสามารถของลูก ๆ ในอนาคต

ทักษะในศตวรรษที่ 21 คือ การบ้านของพ่อแม่ และเป้าหมายของการเรียนรู้ของเด็ก ๆ

ทักษะที่กล่าวถึงกันอย่างมากว่าเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นของเด็กยุคใหม่ ที่ต้องได้รับการพัฒนา เรียนรู้และปูทางสู่ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ด้านการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ด้านการสื่อสาร (Communication) และด้านความร่วมมือกัน (Collaboration) ดังนั้นการบ้านของคุณพ่อคุณแม่ก็คือการจะส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านเหล่านี้ให้กับลูก ๆ ได้อย่างไรและด้วยวิธีใด จึงจะทำให้ลูกมีพื้นฐานที่ดีเพื่อการเติบโตขึ้นในสังคมยุคนี้ได้อย่างแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ ของเล่นจึงเป็นตัวช่วยที่จำเป็นต้องเสาะหามาให้ลูก ๆ นั่นเอง

ของเล่นเสริมทักษะและพัฒนาการของเด็กในยุคนี้ มีวิวัฒนาการที่อิงกับเทคโนโลยีอย่างที่ไม่คิดว่าจะนำมาผสมผสานกันได้ เช่น ของเล่นที่ชื่อว่า PleIQ (เพลย์ ไอคิว) ที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality หรือ เทคโนโลยีความจริงเสริม ที่ใช้โลกเสมือนมาเจอกับโลกจริง โดยมีเป้าหมายในการเล่นเพื่อพัฒนาทางด้านตัวเลข คำศัพท์ และบทเรียนเสริมความรู้ให้กับเด็ก ๆ ในช่วงอายุ 3-8 ขวบ แถมยังสามารถใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันในแท็บเล็ต ที่มีกล้องเพื่อเพิ่มความน่าตื่นเต้นและช่วยในการจดจำได้ดีขึ้นอีกด้วย  หรือที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบอร์ดเกม ที่เป็นเกมที่ต้องใช้ทักษะทั้งการคิดวิเคราะห์และการร่วมมือกันตลอดจนการสื่อสารกับผู้เล่นอื่น ๆ ในเกมก็เหมาะสมกับเด็ก ๆ ในช่วงอายุที่มากขึ้นไปจนถึงบอร์ดเกมที่สามารถเล่นได้ทั้งครอบครัวอีกด้วย

ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรวางแผนเลือกของเล่นให้เหมาะสมกับลูก ๆ ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะต่าง ๆ และด้านงบประมาณที่ต้องลงทุนเพื่ออนาคตของลูก ๆ ในยุคเทคโนโลยีครองเมืองนี้เช่นกัน