เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นในทุก ๆ วัน

ในสังคมที่เครียด ความเครียดของคนในประเทศพุ่งสูงขึ้น อัตราในการฆ่าตัวตายพุ่งสูงขึ้นทุกปี การเมืองก็เครียด เศรษฐกิจก็เครียด เราเองก็สามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้ ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอก สถานการณ์ภายนอกให้ได้ดั่งใจเราได้ เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิด พูด ทำ ได้ แต่เราสามารถควบคุมการรับมือของเรา และการมองโลกของเราได้ ซึ่งความสุขก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง

  1. หาสมุดมาเล่มหนึ่ง จดทุกอย่างที่ทำให้เรายิ้มได้ โดยสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์แล้ว เราจะจดจำสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ง่ายและดีกว่าสิ่งที่ทำให้เราเป็นสุขซึ่งเป็นมานานมากแล้ว เช่น มนุษย์ถ้ำย่อมจำได้ว่าตรงไหนมีงูพิษเยอะ แม้ว่าแถวนั้นดอกไม้จะสวยมาก แต่ก็จำได้ว่างูเยอะก็จะได้ไม่ไปเก็บของป่าแถวนั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแล้วแต่นิสัยบางอย่างยังติดตัวเรามา ซึ่งเราสามารถโปรแกรมสมองเราใหม่ได้ นักเขียนชื่อ Barbara Ann Kipfer ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง โดยรวบรวมเอา 14,000 สิ่งที่ทำให้มีความสุข ( 14,000 things to be happy about ) การทำแบบนี้จะทำให้เรามองเห็นสิ่งความสุขที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยสิ่งที่ทำให้มีความสุขอาจจะเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ หรือเรื่องเล็กน้อย เช่น สอบได้ทุนไปต่างประเทศ หรือก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่สั่งไปวันนี้ได้กุ้งมากกว่าปกติหนึ่งตัว เป็นต้น
  2. ตระหนักว่าความสุขเป็นตัวเลือก เป็นมุมมองของเราที่มองสิ่ง ๆ หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเราสามารถเลือกได้เสมอ เช่น เมื่อเรารอเข้าแถวซื้อบัตรรถไฟฟ้า แล้วมีคนเดินมาชนเราล้ม และมีผู้หญิงคนหนึ่งช่วยผยุงเราขึ้น เราสามารถเลือกจำได้ว่า วันนี้เป็นวันที่ซวยมากมีคนมาชนล้ม หรือวันนี้มีคนใจดีช่วยผยุงเราขึ้นตอนที่เราโดนชน
  3. ให้อภัย การถือโทษโกรธแค้นตัวเองหรือโกรธคนอื่น มีประโยชน์อย่างเดียว คือทำให้ละครหลังข่าวสนุกขึ้น แต่พอมันเกิดขึ้นในใจเรามันร้อนรน มันไม่มีความสุข การให้อภัยแล้วปล่อยวางทำให้มีความสุขได้มากกว่า ทำให้จิตใจสงบได้มากกว่า การไปนั่งเจ้าคิดเจ้าแค้นต้องแก้แค้น ต้องด่ากลับต้องว่ากลับเป็นเรื่องเสียเวลา และเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุและทำให้ทุกข์โดยที่ไม่จำเป็น เวลามีคนมาทำเรื่องแย่ ๆ ก็แค่จำไว้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับเรื่องที่ว่าคนอื่นแย่ยังไง เราจะไม่มีเวลามากพอที่จะมาชื่นชมเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่อย่าสับสนกับการยอมไปเสียทุกเรื่อง เราให้อภัยคนอื่นได้จริงแต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดและทำมันผิดกฏหมาย เรามีสิทธิในตัวเองอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องตัวเองและดำเนินคดีตามกฏหมายให้ถึงที่สุดและไม่จำเป็นต้องยอมความ
  4. ออกกำลังกาย ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่ตามมาจากการออกกำลังกายคือ เราจะได้สังคมใหม่ ได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ เช่น เมื่อคุณไปที่ฟิตเนส ย่อมได้รู้จักเทรนเนอร์ ได้รู้จักคนที่มาในช่วงเวลาเดียวกัน หรือเมื่อไป เล่นแบดมินตัน ก็ย่อมได้รู้จักคนใหม่ ๆ เพราะไม่ใช่กีฬาที่สามารถเล่นได้คนเดียว อย่างน้อยต้องมีผู้เล่น 2 คนขึ้นไป

ตัวอย่างที่กล่าวมาเป็นแค่หนึ่งในร้อยล้านวิธีที่ทำให้เรามีความสุขได้มากขึ้น แต่ละคนมีวิธีในการมีความสุขไม่เหมือนกัน การได้ทดลองนำวิธีใหม่ ๆ ไปใช้ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและหากว่าวิธีที่ได้ลองไปได้ผล ก็กลายเป็นว่าเราสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเองได้ง่ายขึ้นไปอีกขั้น เพราะจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องรอให้มันเกิดขึ้น เช่น ถ้าจะรอให้การเมืองไม่วุ่นวายก่อนแล้วเราค่อยมีความสุข เราไม่รู้เลยว่าเราจะต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราไปออกกำลังกายกับเพื่อนวันนี้ เราก็สามารถมีความสุขเพิ่มขึ้นได้ในวันนี้เลย

รักตัวเองคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่ารักตัวเอง

กลายเป็นคำที่พูดกันอย่างแพร่หลายว่า ต้องรักตัวเอง ทำแบบนี้เพราะไม่รักตัวเอง จะรักคนอื่นได้ต้องรักตัวเองก่อน ถ้ารักตัวเองไม่เป็นก็รักคนอื่นไม่เป็นหรอก จนทำให้หลายคนสงสัยว่าจริง ๆ แล้วรักตัวเองคืออะไร แล้วคนเราไม่รักตัวเองมีด้วยหรอ การรักตัวเองคือการเลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเอง การรู้ว่าตัวเองควรค่าแก่การมีความสุข มีสิทธิที่จะมีความสุข และมีสิทธิที่จะเป็นตัวเองและมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เมื่อประสบความสำเร็จในการเรียนหรือหน้าที่การงาน ใครก็ชอบตัวเองกันทั้งนั้น แต่ถ้ามีวันใดวันหนึ่ง เราไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ เราล้มเหลวในหน้าที่การงานหรือการเรียน และไม่มีคนอยู่เคียงข้าง เราจะสามารถให้อภัยตัวเองในสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นกำลังใจให้ตัวเอง และยังคงรักตัวเองอยู่ โดยไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน หรือผ่านอะไรมา เราก็ยังรักตัวเอง ยอมรับในตัวเองและเคารพตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยการรักตัวเองสามารถเริ่มได้ดังต่อไปนี้

  1. ยอมรับตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น คือยอมรับทุกข้อดีข้อเสียที่มีอยู่ในตัวเรา คนเราทุกคนย่อมมีทั้งข้อดีข้อเสียในตัวเอง การยอมรับตัวเองให้ได้ในทุกมิติเป็นเรื่องสำคัญ จะรู้ได้อย่างไรว่าข้อเสียอันไหนที่เราไม่ยอมรับในตัวเอง สังเกตตัวเองว่าโกรธไหมเวลาคนอื่นหยิบข้อเสียนี้ขึ้นมาพูด เช่น ถ้าเราไปด่าอั้ม พัชราภาว่าไม่สวย อ้วน อั้มย่อมไม่โกรธ เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าเราไปด่าคนที่อ้วนมาก ๆ ว่าอ้วน เราย่อมโดนเขาตบแน่นอน ทำไมเขาถึงโกรธ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ถ้ามีใครมาด่าเราว่าขี้อิจฉา ให้สังเกตตัวเองว่าโกรธไหม ถ้าโกรธแสดงว่าสิ่งที่เขาพูดมีเค้าโครงความจริง ทีนี้เราก็ยอมรับทุกอย่างที่เป็นเราให้ได้
  2. ให้อภัยตัวเองที่บางครั้งก็ทำพลาด เมื่อเรายอมรับตัวเองได้แล้ว เราจะเห็นการกระทำและคำพูดของตัวเองจากมุมมองคนอื่นได้ชัดเจนขึ้น และบางครั้งเราก็ค้นพบว่าเราผิดจริง เราทำพลาดจริงซึ่งมันไม่เป็นไรเลยถ้าคนคนหนึ่งจะทำผิดไปด้วยความพลั้งเผลอ เพียงแต่เราสามารถให้อภัยตัวเองกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถเริ่มใหม่ได้
  3. ให้โอกาสตัวเอง เมื่อเรายอมรับตัวเองและให้อภัยตัวเองได้แล้ว เราก็จะสามารถให้โอกาสตัวเองในการเริ่มใหม่ได้ มองอีกมุมหนึ่งถ้าคนที่เรารักเช่น คนในครอบครัว เพื่อน หรือแฟนทำผิดโดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจ เราจะให้โอกาสพวกเขาใจการเริ่มใหม่ไหม คำตอบคือใช่ ตัวเราเองก็เช่นเดียวกัน
  4. ให้รางวัลตัวเองในเรื่องเล็กน้อยที่ตัวเองประสบความสำเร็จ เช่น แทนที่เราจะรอซื้อรถยนต์ให้ตัวเองเป็นของขวัญเมื่อเรียนจบปริญาตรี และหากตอนนี้เราอยู่ปี 1 เราต้องรออีกถึง 3 ปีกว่า กว่าจะสามารถให้รางวัลตัวเองได้ และมีความสุขกับความสำเร็จของตัวเองได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ตัวเองเมื่อสอบมิดเทอมได้คะแนนที่ต้องการ จะสามารถทำให้เราได้ฉลองความสำเร็จของตัวเองได้บ่อยขึ้น และไม่รู้สึกว่าเรื่องน่ายินดีมันห่างไกลเกินไป

การรักตัวเองเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ และถ้าเรารักตัวเองแล้ว เราจะรู้ว่าต้องปฏิบัติต่อตัวเองอย่างไร ต้องดูแลตัวเองอย่างไร แล้วจะทำให้เรารู้ว่าถ้าเราอยากดูแลคนอื่นเราต้องทำอย่างไร และเมื่อมีเรื่องที่ผ่านเข้ามาเราจะสามารถรับมือต่อเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สามารถพาตัวเองออกมาจากมวลความทุกข์ได้ง่ายขึ้นและสามารถมีความสุขได้ง่ายขึ้น

ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ เราจะสามารถให้กำลังใจตัวเองได้อย่างไร

ในบางวันก็เป็นวันที่เรามีความสุข มีกำลังใจในการเรียน กำลังใจในการทำงาน ในการใช้ชีวิตและต่อสู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา แต่ในบางวันก็มีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่ามันมืดมน มองไปไม่เห็นทาง ไม่มีกำลังใจในการทำอะไรทั้งนั้น หลายคนโชคดีที่มีครอบครัว มีเพื่อน มีคนรักคอยสนับสนุนและอยู่เคียงข้างแต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา พวกเขาไม่ได้ไปกับเราทุกที่ ไม่ได้อยู่กับเราในทุกสถานการณ์พวกเขาย่อมมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง มีงานที่ต้องทำ มีธุระที่ต้องจัดการ มีความฝันที่อยากทำให้สำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่เราและคนใกล้ตัวว่างไม่ตรงกันแล้วเราต้องการกำลังใจอย่างมาก เราเองก็สามารถสร้างกำลังใจเหล่านั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง คือเราเองก็สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ โดยทำได้ดังต่อไปนี้

  1. เขียนทุกความในใจออกมาเป็นตัวหนังสือ ถ้าไม่สะดวกให้หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาพิมพ์ในโน๊ต การเขียนโน๊ตมีแอพพลิเคชั่นรองรับความต้องการมากมาย ให้เขียนทุกสิ่งที่รู้สึกออกมาโดยไม่ต้องกรั่นกรองอะไรทั้งนั้น เพราะเขียนเสร็จแล้วเราจะโยนสิ่งที่เขียนทั้งหมดทิ้งไป เราจะลบข้อความเหล่านั้นทั้งหมดทิ้งไป วิธีนี้เป็นการระบายความในใจออกได้อย่างได้ผลที่สุด ทำไมต้องเขียนระบายความในใจของตัวเองออกมาก่อนที่จะเริ่มข้ออื่น ถ้าเปรียบความรู้สึกเราเหมือนแก้วน้ำใบหนึ่งที่ตอนนี้แก้วน้ำใบนั้นเต็มไปด้วย ชาเขียว ถ้าเราต้องการกินน้ำเปล่าเราไม่สามารถเทน้ำเปล่าลงไปในแก้วได้ทันที เราต้องเทชาเขียวทิ้งไปก่อนแล้วค่อยเอาแก้วไปใส่น้ำเปล่า ดังนั้นเราต้องเอาความรู้สึกแย่ ๆ ออกมาให้หมดก่อนแล้วค่อยใส่ความรู้สึกดี ๆ กลับเข้าไป
  2. ฟังเพลง ทุกวันนี้การฟังเพลงมีให้เลือกหลากหลายแนวมากขึ้น เพลงหลายเพลงแต่งขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจคนฟัง ทำให้รู้สึกดี ทำให้รู้สึกฮึดขึ้นมา ท้อเมื่อไหร่ก็สามารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดฟังได้ทันที นอกจากจะทำให้เรามีกำลังใจฮึดขึ้นสู้ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา การฟังเพลงถือว่าเป็นการคลายเครียดที่ดีอย่างหนึ่ง และใช้เวลาแค่ไม่เกิน 5 นาที แต่ถ้าจะฟังหลายเพลงก็สามารถทำได้เช่นกัน
  3. เล่นกับสัตว์เลี้ยง สัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมาและน้องแมว สามารถช่วยให้เจ้าของคลายเครียดและมีความสุขขึ้นได้และพวกเขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเรา ในต่างประเทศมีการฝึกสุนัขเพื่อบำบัดคนไข้ เพื่อปลอบโยน และเพื่อช่วยให้หายเครียด บางครั้งเมื่อน้องหมาหรือน้องแมวเห็นเจ้าของร้องไห้ก็จะเข้ามาปลอบ สำหรับคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้ในครอบครองก็สามารถไปเล่นกับน้องหมาน้องแมวได้ตามคาเฟ่ต่าง ๆ ซึ่งมีไว้บริการโดยทั่วไป สำหรับคนที่แพ้ขนหมาขนแมว ให้ข้ามข้อนี้ไป
  4. บอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไป โลกนี้ไม่มีอะไรจะอยู่ตลอดไป ความรู้สึกที่ดี ความรู้สึกที่แย่ วันที่ดีที่สุด วันที่แย่ที่สุดล้วนแล้วจะผ่านไป ความรู้สึกมันเป็นเรื่องชั่วคราว อีก 5 ปีต่อมาเราอาจจะจำวันนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บอกตัวเองว่าเดี๋ยววันนี้ก็ผ่านไป เราทำดีที่สุดแล้ว วันนี้เราจะกลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำนอนแล้วพรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นใหม่ เอาใหม่ ทำใหม่

ไม่ว่าจะในแง่ไหน การพูดย่อมง่ายกว่าการลงมือทำ การพูดว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้เพื่อให้กำลังใจตัวเองอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายแต่การลงมือทำและทำให้เกิดผลจริง ๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง วิธีที่ได้ยกขึ้นมานำเสนอเป็นเพียงทางเลือกหากเราต้องการให้กำลังใจตัวเอง ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้กินกาแฟปั่นจากร้านโปรด แต่การทดลองวิธีที่ได้ให้ไว้อาจจะทำให้ได้ค้นพบวิธีการให้กำลังใจตัวเองเพิ่มขึ้นก็ได้

เราจะรับมือกับความคาดหวังจากคนรอบข้างได้อย่างไร

อยู่โดยตอบสนองต่อความคาดหวัง การรับมือกับความคาดหวังเป็นอีกหนึ่งทักษะที่คนรุ่นใหม่ต้องฝึกฝน หลายวันมานี้ข่าวการกระโดดตึกฆ่าตัวตายของเด็กในวัยเรียนมีให้เห็นทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าการฆ่าตัวตายมีหลายสาเหตุแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองคือ ไม่สามารถทนทานต่อความคาดหวังที่มาจากตัวเอง ครอบครัว คนรอบข้างและสังคมได้ การรับมือกับความคาดหวังเป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน เพราะเราต้องเจอความคาดหวังและแบกรับความคาดหวังเหล่านั้นทุกวัน วิธีการรับมือกับความคาดหวังมีดังต่อไปนี้

  1. เข้าใจความคาดหวัง เข้าใจว่าบางความคาดหวังก็สามารถกลายเป็นความจริงได้ บางความคาดหวังก็ไม่สามารถทำให้กลายเป็นจริงได้เนื่องจากขัดแย้งกับความเป็นจริงหรือสิ่งที่มีอยู่มากเกินไป แม้ว่าความคาดหวังว่าการสอบครั้งนี้เราต้องได้ A ทุกตัว แต่มันก็มีสิทธิ์ที่ความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้ได้ A ทุกตัว หรือความคาดหวังว่าเดือนหน้าเราจะเงินเดือนขึ้น 25% ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ 25% จริง ความคาดหวังเป็นสิ่งที่เรากำหนดไว้ก่อนหน้า แต่เรื่องความเป็นจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งในหลาย ๆ กรณี เราไม่ใช่ตัวแปรในการควบคุมให้ความคาดหวังเหล่านั้นเป็นความจริงได้ 100%
  2. โฟกัสกับสิ่งที่เราทำในแต่ละช่วงเวลา กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว เราเองก็ไม่สามารถอ่านหนังสือ 10 เล่มแล้วเข้าใจได้ทั้งหมดภายในเวลา 3 ชั่วโมงได้เช่นกัน เราเองก็ไม่สามารถเรียนหมอและเป็นหมอได้ภายใน 1 ปี ทุกอย่างมีระยะเวลาของมัน กระบวนการเรียนรู้เองก็มีระยะเวลาของมัน โฟกัสกับสิ่งที่เราทำในแต่ละช่วงเวลาจะทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้มากกว่า และเครียดน้อยลง
  3. พูดคุยกับแหล่งที่มาของความคาดหวัง หลาย ๆ ครั้งความคาดหวังในชีวิตเราเกิดจากพ่อแม่ เราเองก็ต้องคุยกับท่านเรื่องความคาดหวังเหล่านั้น โดยความคาดหวังคือนามธรรม ซึ่งบางครั้งเราอาจจะแปลความหมายไม่ตรงกันว่ามันคืออะไรบ้าง การพูดคุยกันอย่างเปิดอกทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน
  4. เข้าใจความคาดหวังที่มีต่อตัวเราเอง หลายครั้งความคาดหวังมันจะเกิดจากการที่อยากให้เรามีชีวิตที่ดี เช่น เมื่อความคาดหวังนั้นมาจากพ่อแม่ พวกท่านย่อมอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดี อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ แม้ว่าการกระทำหรือคำพูดที่แสดงออกมาจะทำให้เรารู้สึกเครียด แต่การกระทำเหล่านั้นเกิดมากจากความหวังดี
  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเราพูดคุยกับแหล่งที่มาของความคาดหวังซึ่งในที่นี้คือพ่อแม่แล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับความเข้าใจให้ตรงกันได้ เนื่องจากแนวความคิดที่แตกต่างกัน อายุที่ห่างกันมาก และบางครั้งด้วยคำสอนของสังคมไทยที่ลูกที่ดีจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง ทำให้การอธิบายและการปรับความเข้าใจให้ตรงกันเป็นเรื่องยาก ในกรณีนี้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคือทางออกที่ดี

เราไม่สามารถหลีกหนีจากความคาดหวังในชีวิตได้ แต่เราสามารถเรียนรู้วิธีการในการรับมือกับมันได้ ความคาดหวังหากมีในระดับที่พอดี จะทำให้เรามีแรงและกำลังใจในการต่อสู้และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย แต่หากมีมากเกินไปเจ้าตัวเองจะรู้สึกถูกบีบอัด เกิดความเครียดสะสม จึงควรการมองหาทางออกที่เหมาะสมกับตัวเอง

เมื่อเราได้ทำผิดพลาดลงไปแล้ว เราจะให้อภัยตัวเองได้อย่างไร

ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่มีกิจกรรมทำตลอดเวลา ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นความประมาทเลินเล่อในที่ทำงาน บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ เช่น ลืมปิดเตาแก็สที่บ้านทำให้ไฟไหม้บ้านคลอกคนในครอบครัวเสียชีวิต เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ทำผิดลงไปแล้ว การให้อภัยตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ การตอกย้ำตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเราทำผิดอย่างไรไม่สามารถช่วยให้เราผ่านเรื่องราวนี้ไปได้ และไม่ได้ช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วย หลายคนสามารถให้อภัยตัวเองได้อย่างง่ายดายและสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ บางคนกลับไม่สามารถใช้อภัยตัวเองได้ และเลือกที่จะจมอยู่กับความผิดพลาดที่ตัวเองได้ก่อขึ้นทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ การให้อภัยตัวเองสามารถทำได้อย่างไร

  1. ยอมรับความจริง ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้เกิดไปแล้ว ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอดีตไปแล้ว บางสถานการณ์เราสามารถแก้ไขได้และบางสถานการณ์เราไม่สามารถย้อนกลับไปไก้ไขอะไรได้ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งแรกที่ต้องเกิดขึ้นในกระบวนการการเยียวยาตัวเอง
  2. จัดหมวดหมู่การกระทำของที่เราทำพลาดไป หมวดหมู่ของการกระทำที่มันยากที่จะให้อภัยตัวเอง แบ่งออกได้เป็น 4 หมวดใหญ่ ๆ คือ เราทำพลาดในเรื่องใหญ่ ๆ ของชีวิต เช่น พลาดในเรื่องการแต่งงาน การกระทำของเราทำร้ายคนอื่น เช่น เรานอกใจคู่รักของเรา การกระทำของเราทำร้ายตัวเอง เช่น ติดเหล้า ติดการพนัน และสุดท้ายเพราะเราไม่ทำบางอย่างจึงทำให้มีผลร้ายตามมา เช่น การไม่พาแม่ไปโรงพยาบาลแม่เลยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การจัดหมวดหมู่ของสิ่งที่เราทำพลาดไปทำให้เรามองเห็นการกระทำเหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น และทำให้เราสามารถเยียวยาตัวเองได้ง่ายขึ้น
  3. ปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึก การปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกและรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง หากเราปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง จะทำให้กระบวนการในการเยียวยาตัวเองยืดระยะเวลาออกไป
  4. เข้าใจความต้องการของตัวเอง เข้าใจความต้องการของตัวเองที่ก่อให้เกิดการกระทำที่เราได้ทำพลาดลงไป เข้าใจว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราจัดลำดับความต้องการนั้นไว้สูงสุด ทำให้เราตัดสินใจแบบนั้นไป
  5. ตระหนักว่าความคาดหวังที่เรามีแต่ตัวเองบางอย่างก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริง หลาย ๆ ครั้งเราย้อนกลับไปคิดว่าในอดีตเราไม่ควรกระทำแบบนั้น ในอดีตเราไม่ควรนอกใจแฟน เราไม่ควรติดเหล้าจนลืมทำงานทำการ เราไม่ควรเปิดเตาแก็สทิ้งไว้ก่อนออกจากบ้าน ซึ่งความคาดหวังเหล่านี้คือความคาดหวังว่าเราจะสามารถย้อนอดีตกลับไปแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งความคาดหวังนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เพียงแต่จะทำให้เราจมติดอยู่กับความเศร้าและอดีตที่แก้ไขไม่ได้เท่านั้น
  6. ตระหนักว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร เมื่อเรานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เรามีความรู้สึกเศร้า ละอายใจ ทุกข์ใจ รู้สึกผิด ความรู้สึกเหล่านั้นควบคุมพฤติกรรมที่เราแสดงออกแบบที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวหรือไม่ เช่น บางคนนอนไม่หลับ บางคนพยายามลืมความเจ็บปวดเหล่านั้นด้วยการโหมงานหนัก หรือกินเหล้า ผลกระทบที่ตามมาเหล่านี้ทำให้เราลืมความเจ็บปวดได้ชั่วขณะ แต่ในระยะยาวเราจะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพตามมา
  7. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ในหลาย ๆ ครั้งเรื่องที่เรารู้สึกผิดก็มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเรา คือ เราไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เช่น ไม่สามารถนอนหลับได้ด้วยตัวเอง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น การขอความช่วยเหลือจะทำให้เราได้รับการสนับสนุนทางจิตใจเพื่อให้สามารถผ่านเหตุกาณ์นั้นไปได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายตัวเองซ้ำ

การให้อภัยตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญและควรค่าแก่การเรียนรู้ เนื่องจากเราสามารถทำผิดพลาดได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะระวังมากแค่ไหน หากเราไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ เรื่องราวที่เราทำพลาดไปจะหลอกหลอนเราจนไม่สามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างอิสระ หากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถหาทางออกได้ด้วยตัวเอง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถือเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัย

เตรียมความพร้อมรับมือนักช้อปปลายปี สินค้าดี ๆ จะคว้ามาอย่างไร

อีกแค่ไม่กี่วันก็จะเข้าก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลต้นรับปีใหม่ ใครที่วางแผนอะไรไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้วยังไม่ได้เริ่มก็ควรเริ่มลงมือทำได้แล้ว เพราะเวลาในแต่ละปีมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจริง ส่วนใครที่ลงมือทำแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จก็ไม่ต้องกดดันตัวเองแค่เพียงได้เริ่มก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว

เมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่กำลังจะเดินทางมาถึง นั้นแปลว่าเทศกาลส่งท้ายปีเก่าก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน และเชื่อได้ว่าช่วงเวลาส่งท้ายปี คือ ช่วงเวลาแห่งความสุขที่หลาย ๆ คนกำลังรอคอย ไม่ใช่ตื่นเต้นเพราะจะได้หยุดยาว ไม่ใช่ตื่นเต้นที่จะได้เลี้ยงฉลองสังสรรค์กับเพื่อน ๆ แต่มีสิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าสำหรับหนุ่มสาวนักช้อป คือ มันเป็นช่วงเวลาแห่งการลดราคาสินค้าแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ส่งท้ายปี ใครที่จับจอง จ้องมอง สินค้าตัวไหนไว้และยังไม่มีทุนทรัพย์ที่จะซื้อมาตลอดปี ก็มักจะรอคอยช่วงเวลาแบบนี้กันทั้งสิ้น

จะเห็นได้ว่าปลายปีเมื่อใด สินค้าส่วนใหญ่ก็จะเริ่มลดราคาหลากหลายประเภท ทั้งของถูกของแพง ขายเหมาขายปลีก มีให้เลือกสรรอย่างต่อเนื่อง ช่วงปลายปีจึงเป็นช่วงระยะเวลาสวรรค์ของนักช้อปทั้งหลายแต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะมีโอกาสได้ของดีราคาถูกเสมอไป เพราะยิ่งของราคาถูกมากเท่าไรนักช้อปมักจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น บางคนก็ช้อปเพื่อนำไปใช้เอง แต่บางคนก็จะมาในรูปแบบของนักช้อปพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ซื้อในราคาถูกเพื่อนำไปขายในราคาแพง หรือบางคนไม่ได้ซื้อไปขายแต่รับฝากรับหิ้วก็มีไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้น หากคุณคือ นักช้อปสินค้าลดราคาตัวจริง จำเป็นต้องมีวิธีการรับมือสำหรับการปะทะกับนักช้อปท่านอื่น เพื่อช่วงชิงสินค้าดีราคาถูกให้ทันเวลา

1. ท่องโลก Social อย่าให้ขาด

เรื่องนี้คิดว่าคงไม่ยากเกินความสามารถ เพราะหลายคนคงจะมีโลกโซเชียลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ปัจจุบันมีเพจที่คอยแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานที่ หรือสินค้าที่ลดราคาเกิดขึ้นอย่างมากมาย ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสและมานั่งเสียดายในภายหลัง จงไปกดถูกใจ กดติดตาม เพจเหล่านั้นให้มาก ๆ ยิ่งกดมากเท่าไรยิ่งมีโอกาสรับรู้มากกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน และสำหรับบางคนที่ไม่ชอบติดตามโลกโซเชียล ก็ลองหันมาสนใจดูบ้างเผื่อจะมีโอกาสได้ของดีราคาถูกแบบไม่ได้ตั้งใจ

2. เลือกตั้งแต่อยู่ที่บ้าน

เมื่อใดที่เจอสถานที่และทราบวันเวลาในการเปิดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ที่แน่นอนแล้ว ต้องเตรียมตัวให้พร้อม อยากได้สินค้าอะไร แบบไหน ให้เลือกเอาไว้ตั้งแต่ที่บ้านเลย เมื่อไปถึงให้พุ่งตรงไปหาสิ่งที่อยากได้อย่างรวดเร็ว จะได้ไม่เสียเวลาในการเลือก เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสได้ในสิ่งที่ต้องการ เพราะสินค้าลดราคาบางชนิดมักมีจำนวนจำกัดและถ้ายิ่งลดราคามากก็ยิ่งมีคนต้องการมากเช่นกัน

3. ศึกษาดี ไม่เสียเวลา

แน่นอนว่าที่ใดมีของเซลล์ ที่นั้นย่อมมีนักช้อป คนจำนวนมากมายมหาศาลจะไปรวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ถ้าคิดจะไปเป็นส่วนหนึ่งของการช้อปในครั้งนั้นแล้วละก็ ต้องเริ่มต้นจากการวางแผนที่ดี ศึกษาเส้นทางที่ง่ายและสะดวกในการเดินทาง เผื่อระยะเวลาสำหรับการจราจรที่คับคั่ง ถ้าจะให้ดีควรมีการวางแผนสำรองสำหรับการเดินทางด้วยเพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ

ดังนั้น ขอให้หนุ่ม ๆ สาว ๆ นักช้อปไม่ว่าเป็นจะมือเก่า มือใหม่ มืออาชีพ หรือมือสมัครเล่น นำเกร็ดเคล็ดลับในการเตรียมความพร้อมสำหรับการช้อปสินค้าลดราคาปลายปีไปปรับใช้ เพื่อที่จะไม่พลาดโอกาสในการได้ของดีราคาถูก เพราะปลายปีมีครั้งเดียว โอกาสดี ๆ ของนักช้อปจึงมีไม่มาก จงอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปเตรียมตัวเตรียมใจและออกตามหาสิ่งที่อยากได้ไปด้วยกัน

 

คู่มือสร้างความสุขด้วยตัวเอง..สำหรับสาวโสดที่ต้องทำก่อนข้ามปี

ถ้าเมื่อใดที่มองออกไปนอกถนน แล้วพบกับแสงสีตระการตา เสียงเพลงบรรเลงดนตรีในยามค่ำคืน ผู้คนจับกลุ่มร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน นั้นแปลว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังเดินทางมาถึง ถือเป็นสัญลักษณ์ที่กำลังจะบอกให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมกับการส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่

ช่วงเวลาเหล่านี้ คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มวางแผนเพื่อทำอะไรสักอย่าง ที่เป็นการมอบความสุขให้กับตัวเองและคนที่รักหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี หลายคนอาจจะเดินทางไปท่องเที่ยว หลายคนอาจมีนัดกินเลี้ยงสังสรรค์กับบรรดาเพื่อน หลายคนอาจไปทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ เพื่อความเป็นศิริมงคลของชีวิต และอีกหลายคนหรือหลายคู่ ที่มีแผนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่า นั้นคือ ความฝันของสาวหลาย ๆ คน โดยเฉพาะสาวที่ขึ้นชื่อว่า..โสด..อาจจะไม่ต้องถึงขั้นมีงานวิวาห์ที่หวานชื่น ขอแค่เพียงมีใครสักคนอยู่ข้างกันในช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ก็พอแล้ว

ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่เพียงความฝันแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สาวโสดจะหาความสุขในช่วงเวลาแบบนี้ไม่ได้ ฉะนั้น ก่อนสิ้นปีนี้จงลุกขึ้นมาทำตาม 5 เคล็ดลับ ที่สาวโสดจะสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง

1. ดูแลตัวเอง

คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อยู่แบบโสด ๆ สวย ๆ ให้ผู้ชายเสียดายเล่น” แน่นอนว่าผู้หญิงเราเรื่องความสวยความงามของรูปร่างหน้าตา ย่อมต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีคู่รัก ไม่จำเป็นต้องให้ใครดูแล ผู้หญิงเราแข็งแกร่งพอที่จะดูแลตัวเองได้ ก็แค่หันกลับมาบำรุงดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย เลือกกินแต่ของดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว และเมื่อภายนอกสวยหน้ามอง เรื่องใครสักคนก็จะตามมาเอง

2. ดูแลครอบครัว

ในเมื่อไม่ใครให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ก็ลองหันกลับมาดูแลคนในครอบครัวแทน แล้วจะได้รู้ว่า ความรักที่ยั่งยืนและแท้จริง ไม่ได้อยู่ไกลตัวของทุกคนเลย ไม่ต้องตามหาใครสักคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ไหนให้เหนื่อยเปล่า แต่จงให้กอบโกยความรักจากคนในครอบครัวที่มีอยู่จริงเสียดีกว่า

3. สำรวจตัวตน

มีใครเคยสำรวจตัวตนที่แท้จริงของตัวเองบ้างหรือไม่…การที่วันนี้คุณยังไม่มีใคร สาเหตุหลักอาจจะมาจากตัวของคุณเอง คนที่เคยมีความรักมาก่อน ก็ลองกลับไปนึกย้อนคำพูดของคนรักในอดีต คนที่ยังไม่เคยมีความรัก ก็ลองสำรวจนิสัยใจคอ ความคิด ทัศนคติของตัวเอง เผื่อจะค้นพบว่า ตัวเราควรจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเพื่อต้อนรับกับสิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามาในปีหน้า

4. เปิดใจยอมรับ

หรือแท้จริงแล้ว การที่สาวโสดยังไม่มีใครเพราะยังคงจดจำเรื่องราวความรักครั้งเก่า และยังไม่ยอมรับใครใหม่เข้ามาในชีวิต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ขอให้สาวโสดโปรดโยนอดีตอันแสนเจ็บปวดนั้นทิ้ง เพราะเมื่อใดที่ยังแบกมันไว้โอกาสในชีวิตก็จะยิ่งลดน้อยลง ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเจอกับสิ่งเลวร้ายมากแค่ไหนแต่ในเมื่อวันนี้ยังคงมีลมหายใจ นั้นหมายความว่าชีวิตต้องไปต่อ อย่าปิดกั้นตัวเองเพราะอาจเป็นการปิดกั้นชีวิตของคนที่รอคุณอยู่อีกหนึ่งชีวิตก็ได้

5. วางแผนสำหรับปีหน้า

จริงอยู่ว่าไม่มีใครรู้อนาคต แต่ทุกคนสามารถวางแผนอนาคตของตัวเองได้ วันนี้สาวโสดอาจจะยังไม่รู้อนาคตว่าจะมีคนรักเมื่อไร แต่สิ่งที่รู้และทำได้ คือ การวางแผนเพื่อรับมือกับการดำเนินชีวิตต่อไป ลองมองหาหรือทำอะไรใหม่ ๆ เผื่อจะเป็นโอกาสในการค้นพบตัวตนอีกด้าน

ไหน ๆ ก็จะเป็นสาวโสดข้ามปีแล้ว ก็ขอให้เป็นสาวโสดที่มีความสุขมากที่สุดเพราะความสุขที่แท้จริงแล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร แต่มันขึ้นอยู่กับใจของตัวเอง การมีคนรักก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าชีวิตจะมีความสุข ฉะนั้น จงอย่าเอาชีวิตไปแขวนหรือผูกติดกับการแสวงหาใครสักคน เมื่อใดที่ถึงเวลาโชคชะตาจะนำพาเขามาเอง จงอยู่กับความสุขที่เราสร้างขึ้น และความสุขนี้จะไม่มีวันสูญหายไปอย่างแน่นอน

 

“อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องมโน” จิตแพทย์เผยคนไทยยุคนี้เป็นโรคขี้มโนกันมาก

                โรคคิดเอาเอง โรคหลอกตัวเอง โรคหลอกคนอื่น หรือเรียกให้เข้าใจทั่วกันว่า “โรคขี้มโน” นั้นมีสาเหตุมาจากปมด้อยวัยเด็ก ที่ตนเชื่อฝังหัวว่าไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จนพยายามกุเรื่อง สร้างเรื่องขึ้นมาให้ตัวเองดูน่าสนใจ และบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ไม่มีมูลความจริงเอาเสียเลย โดยโรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Pseudologia fantastica หรือโรคที่ผู้ป่วยมักจะอยู่ในจินตนาการของตนเป็นครั้งคราว และแสดงออกต่อผู้อื่นว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง

โดยจิตแพทย์เผยว่าปัจจุบันคนไทยเริ่มเข้าข่ายเป็นโรคชนิดนี้กันมากขึ้น เนื่องมาจากความต้องการสร้างภาพให้ดูดีในโลกออนไลน์ การแสดงออกถึงความสมบูรณ์แบบของตนทางโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้สามารถเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่คนยุคใหม่ป่วยเป็นโรคขี้มโนได้มาก ซึ่งจะเห็นได้จากข่าวที่คนบางกลุ่มหรือบางคนสร้างเรื่องราวขึ้นมาจนกลายเป็นประเด็นใหญ่โต

ถ้าพูดถึงชื่อ “บอย สกล” หลายคนน่าจะร้องอ๋อและจำได้ว่าคน ๆ นี้เป็นนักสร้างเรื่องมืออาชีพ ที่ปลอมตัวว่าเป็นนิสิตจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อน ๆ จนไม่มีใครเอะใจเลย ว่าเขาไม่ได้ศึกษาในสถาบัณแห่งนี้ การโพสต์ข้อความและรูปทางโซเชียลมีเดียที่บ่งบอกว่าเขาเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทำให้หลายคนเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวและญาติพี่น้องของเขาด้วย ที่ไม่มีใครเอะใจเลยว่าบอยกำลังโกหกทุกคนอยู่ จนกระทั่งเรื่องแดงขึ้นจากเพื่อนของเขาเอง ที่ออกมาแฉว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องหลอกลวง อีกทั้งบอยยังเคยโกงเงินค่ากิจกรรมกว่าแสนบาท จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดชลบุรีแล้วชิ่งหนีด้วยการลาออก ส่งผลให้เรื่องของเขาเป็นมหากาพย์ของการมโนอยู่พักใหญ่

อีกหนึ่งเหตุการณ์ของการมโนที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันก็คือ เหตุการณ์ของดาราสาวที่ออกมาแถลงข่าวกับแฟนหนุ่ม ที่กำลังจะมีผลงานทางทีวีว่าตนท้อง จนคนทั้งประเทศต่างก็พากันให้กำลังใจเธอและด่าแฟนหนุ่มยกใหญ่ เรื่องการไร้ความรับผิดชอบ จนกระทั่งชาวเน็ตเริ่มขุดคุ้ยและถามไถ่เรื่องการฝากครรภ์ แต่ก็ถูกดาราสาวปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามอยู่ตลอด ไม่นานความจริงก็ปรากฏขึ้นจากการแฉของเจ้าของฉี่ที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งดาราสาวขอไปตรวจก่อนหน้านี้เพื่อสร้างหลักฐานเท็จ ส่งผลให้ฝ่ายชายต้องจ้างทนายความฟ้องเธอฐานทำให้เสียชื่อเสียง และในที่สุดดาราสาวก็ออกมาสารภาพว่าเรื่องทั้งหมดเธอโกหก เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายชายเลิกรากับเธอ

โรคขี้โกหกหรือโรคขี้มโนนั้นสามารถรักษาให้หายได้ โดยการอยู่กับปัจจุบันและพูดความจริงทุกครั้งที่สื่อสารกับคนรอบข้าง โดยจิตแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดกลับไปรับประทาน แต่ผู้ป่วยเองก็ควรรู้ตัวเองและต้องอยู่กับความจริงเป็นหลัก เพื่อไม่ให้พลั้งเผลอสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาอีก

 

หากสามีนอกใจ มีเมียน้อย ภรรยาต้องมี อรุณา จากละครเมีย 2018 เป็นไอดอล    

ละครดังสนั่นจอประจำปีนี้ คงจะหนีไม่พ้นละครภาคค่ำเรื่องเมีย 2018 เป็นละครที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีกระแสในโซเชียลนานหลายวัน แถมมีเรทติ้งสูงเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเป็นละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวกับผัว ๆ เมีย ๆ สะท้อนปัญหาชีวิตคู่ในสังคม และเนื้อเรื่องเข้มข้น สนุกสนานชวนติดตาม รวมทั้งสามารถนำมาเป็นแนวทางปรับใช้กับชีวิตคู่ในชีวิตจริงของบางคนได้

สาเหตุของปัญหาชีวิตคู่ ที่ทำให้ครอบครัวแตกแยกหรือหย่าร้างกัน

สามีภรรยาเมื่อตกลงแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน ก็อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอย่างมีความสุขจนวันตาย แต่ก็มีหลายคู่ไม่ได้เป็นแบบนั้น จึงทำให้ครอบครัวแตกแยก จนต้องหย่าร้างกันไป โดยการหย่าร้างมีอยู่ในสังคมทุกชนชั้น ทุกอาชีพ แม้กระทั่งดารา ไฮโซ ที่มีความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง บางคู่ก็ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้ ด้วยสาเหตุ “ทัศนคติไม่ตรงกัน” หรือ “ Life style ต่างกัน” หรือเหตุผลอื่น ๆ

แต่จากละครเรื่อง เมีย 2018 สาเหตุของการหย่าร้าง เกิดจากอรุณา ซึ่งเป็นเมียหลวงที่ถูกกันยาที่เป็นญาติ แต่นับถือกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ แย่งสามีไปเพราะความใจดีของเธอ และความไม่รู้จักพอ หลงใหล ในกิเลสสิ่งยั่วยวน ไม่มีสติ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ของสามีอย่างธาดา จนทำให้ครอบครัวมีปัญหาต้อง เลิกราหย่าร้างกันไป

วิธีการแก้ปัญหาเมื่อชีวิตคู่ต้องหย่าร้าง

คนเป็นภรรยา เมื่อสามีมีเมียน้อย ให้มีสติและเข้มเข็ง ไม่จมอยู่กับความทุกข์โดยให้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องการแต่งตัว หางานหรืออาชีพทำ เพราะจะได้มีรายได้ ไปสังสรรค์หรือเข้าสังคมบ้างเพื่อพบปะผู้คน หรือเข้าวัดฟังธรรม ปรึกษาหารือกับครอบครัว เพื่อนหรือคนสนิทที่ไว้ใจได้ รวมทั้งไม่คิดว่าสามีที่เลิกรากันเป็นศัตรู ให้คิดว่าเขาเป็นเพื่อน เพราะยังมีลูกที่เป็นพันธะผูกพัน ต้องคุยปรึกษาหารือเรื่องการเลี้ยงดู และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับลูกอีกนาน เพื่อให้ลูกได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการหย่าร้างของพ่อแม่

ซึ่งแน่นอนภรรยาที่สามารถแก้ปัญหาและผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้  ชีวิตก็จะสุขกายสบายใจ และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่สวยและดูดีขึ้น การงานเจริญก้าวหน้า การเงินดี ตนเองและลูกมีความสุข ฯลฯ จนเป็นที่อิจฉาของเมียน้อย และเป็นที่เสียดายของสามีเก่า นอกจากนี้อาจจะได้เจอคนรักใหม่ที่ดีกว่าสามีเก่า เหมือนที่อรุณาเจอกับวศิน ผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนอยากได้มาครอบครอง และได้รับการยกย่องให้เป็น สามีแห่งชาติจากละครเรื่อง เมีย 2018

 

ชีวิตดี เพราะมีดนตรี รู้จักประโยชน์ของดนตรีกับชีวิตคนทำงาน

มีข้อมูลงานวิจัยที่เป็นทางการ ได้ผลที่บ่งบอกว่า การฟังดนตรีในระหว่างทำงานนั้น ช่วยให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ดนตรียังมีข้อดีกับคนทำงานมากกว่านั้น เพราะดนตรีคือยาวิเศษแห่งจิตใจ หากไม่ใช่ความพิเศษและพลังแห่งดนตรีแล้วนั้น ทุกวันนี้การดำเนินชีวิตในโลกที่วุ่นวายใบนี้ก็คงไม่น่าอภิรมย์นัก โดยเฉพาะกับคนวัยทำงานที่มีแต่ความเครียด เสียงจากการพูดคุย เสียงจากอุปกรณ์หรือเครื่องจักรในที่ทำงาน เสียงเหล่านี้เป็นตัวอย่างของเสียงที่อาจเพิ่มความเครียดทั้งนั้น แต่ไม่ใช่กับเสียงเพราะ ๆ จาก “ดนตรี”

การจะเกิดเป็นดนตรีได้นั้น มีหลายสิ่งรวมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ทำนอง จังหวะ ระดับเสียง หรือการสอดประสานของเสียงจากเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ โดยทั่วไปอาจกล่าวได้ว่า ดนตรีประกอบไปด้วยสิ่งพื้นฐานต่าง ๆ อย่างเช่น ท่วงทำนอง (Melody) จังหวะ (Rhythm) ระดับของเสียง (Pitch)  หรือแม้กระทั่งเรื่องของการประสานเสียง (Harmony) สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรกับคนทำงานบ้างนั้น หากลองค้นดูงานวิจัยที่เกี่ยวกับดนตรีแล้ว จะพบว่าดนตรีมีผลต่อความรู้สึกของมนุษย์ในหลากหลายด้านทั้งความรู้สึกตื่นเต้น ความเศร้า ความร่าเริง ความกระตือรือร้น ความผ่อนคลาย และความรู้สึกอื่น ๆ ดังนั้นการฟังเพลงในระหว่างการเดินทางไปทำงาน การฟังเพลงขณะทำงาน หรือ การฟังเพลงหลังเลิกงาน เพลงและดนตรีนั้นสามารถเป็นประโยชน์และเป็นส่วนหนึ่งของคนทำงานได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกฟังในช่วงเวลาใด

อาชีพที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ผู้เป็นเบื้องหลังความสุขของวัยทำงาน

                หากดนตรีเป็นเหมือนยาวิเศษ ผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับดนตรีก็เปรียบเสมือนนักปรุงยา ซึ่งอาชีพที่เป็นที่รู้จักว่ามีดนตรีเป็นองค์ประกอบหลักคงหนีไม่พ้นนักร้อง นักดนตรี สองอาชีพนี้เป็นอาชีพที่อยู่เบื้องหน้านำผลผลิตคือดนตรีออกมาสื่อสารและถ่ายทอดด้วยพรสวรรค์ทางด้านการร้องและเล่น แต่ยังมีอีกหลายอาชีพที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการผลิตดนตรีและใช้ประโยชน์จากดนตรีในการสร้างสรรค์งาน ยกตัวอย่างเช่น อาชีพนักแต่งเพลง อันที่จริงถือเป็นอาชีพที่สำคัญในวงการดนตรี นักแต่งเพลงที่ดีสามารถแต่งเพลงออกมาให้คนฟังเกิดความรู้สึกคล้อยตามเพลงนั้น ๆ โดยที่บางครั้งอาจจะไม่จำเป็นต้องมีเนื้อเพลงเลยก็ได้ และเพลงดี ๆ จากอาชีพนี้นี่เองที่สร้างความสุขให้กับคนทำงานในอาชีพอื่น ๆ

นอกจากความสุขที่ได้รับจากดนตรีแล้ว ในปัจจุบันดนตรียังสามารถช่วยบำบัดทุกข์ได้อีกด้วย อาชีพนักดนตรีบำบัดจึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่กำลังมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เพราะในวงการแพทย์ทางเลือก การใช้ดนตรีบำบัดได้ถูกนำมาร่วมบูรณาการเข้ากับการรักษาอื่น ๆ และด้วยประโยชน์ของดนตรีเหล่านี้ ก็น่าจะเพียงพอให้เลือกเพลงสักเพลงมาเปิดฟังกันเลยตอนนี้