นำเทรนด์พื้นที่สีเขียว ต้นแบบ “สวนสาธารณะลอยน้ำ” แห่งแรกของไทย

ปัญหาเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่สถาบันต่าง ๆ ตระหนัก ให้ความสำคัญ และช่วยกันหาไอเดียสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าแก้ปัญหาดังกล่าว ล่าสุดก็เพิ่งมีงาน “Bangkok Design Week 2018: The New-ist Vibes ออกแบบไปข้างหน้า” จัดไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2561 โดยศูนย์ TCDC งานดังกล่าวจัดกระจายตามย่านสำคัญของกรุงเทพฯ ได้แก่ เจริญกรุง คลองสาน พระราม1 และสุขุมวิท รวบรวมไอเดียออกแบบล้ำนำสมัย ที่ช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์พลังงานไว้เยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น พาวิเลียนจากพลาสติกรีไซเคิล ตลาดปล่อยแสง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีไอเดียเด็ดที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ ต้นแบบ “สวนลอยน้ำ” หรือสวนสาธารณะลอยน้ำแห่งแรกของไทยนั่นเอง

เปิดไอเดีย ยศพล บุญสม ดึงเรือขนส่งทราย สู่สวนลอยน้ำ 

สวนลอยน้ำ (Floating Park) เป็นผลงานของคุณ ยศพล บุญสม ภูมิสถาปนิกจากบริษัท ฉมา จำกัด เจ้าของรางวัลจากงาน World Architecture Festival 2016 ณ เยอรมนี โดยออกแบบจากการตระหนักเกี่ยวกับปัญหาสร้างพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ จึงหยิบเอาเรือขนทราย มาเป็นคีย์หลักสำคัญในการสร้างสวนลอยน้ำครั้งนี้ เนื่องจากเรือขนทราย มีความผูกพันกับวิถีชีวิตริมน้ำเจ้าพระยา ที่เราเห็นกันชินตา แต่ก็ค่อย ๆ ถูกลืมเลือน เขาจึงหยิบสองสิ่งนี้มาเชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างเป็นพื้นที่ใหม่ ซึ่งอนาคตนอกจากจะเป็นสวนแล้วอาจจะทำอย่างอื่นได้อีกด้วย เรือดังกล่าวถูกบรรทุกสวนที่เต็มไปด้วยพืชพรรณต่าง ๆ ทำให้เราเห็นภาพสวนสาธารณะบนเรือต้นแบบอย่างชัดเจน โดยแบ่งโซนบนเรือออกเป็น 4 ส่วนได้แก่ สวนคนเมือง โดยใช้กลุ่มพืชสมุนไพรในการปลุก, สนามเด็กเล่นที่มีทรายเป็นส่วนประกอบ, ห่วงยางที่ได้รับการออกแบบ อย่างมีสไตล์และเป็นร่มเงา และส่วนของการจัดแสดงภาพ สามารถเข้าชมได้ครั้งละ 30-40 คนต่อรอบ อนาคตพร้อมจะต่อยอดสวนสาธารณะโดยอาจจะทำเป็นห้องสมุด ป่าลอยน้ำ สนามกีฬา เป็นต้น

 พื้นที่สีเขียวของคนกรุงเทพฯ ที่ไหนน่าไปบ้าง ?

                สำหรับใครที่ชอบวิ่งชิลล์ ๆ รักความสดชื่น เติมเต็มอากาศบริสุทธิ์ให้ปอด วันนี้เราก็มีพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะมาแนะนำกัน ที่แรก
สวนจตุจักร
เดินทางง่าย ๆ ใกล้ BTS หมอชิต และ MRT จตุจักร พื้นที่กว้างเหมาะสำหรับเดินและวิ่ง เปิดทั้งวัน แถมตอนเย็นบริเวณด้านหลังยังมีตลาดนัดจตุจักรและตลาดนัดเจเจกรีน

สวนลุมพินี สวนสาธารณะแห่งแรกในไทย ใกล้ MRT ลุมพินี ที่นี่จะอเนกประสงค์หน่อย ๆ มีกิจกรรมให้ทำเพียบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่

สวนรถไฟ หรือ สวนวชิรเบญจทัศ ใกล้ ๆ กับสวนจตุจักร พื้นที่ใหญ่กว่า 375 ไร่ ฮิตมาก ๆ ผู้คนนิยมไปวิ่งและปั่นจักรยานตลอดทั้งวัน ถ้าใครชอบบรรยากาศสดชื่นแบบนี้ แถมได้ถ่ายรูป ให้อาหารกระรอกด้วย ก็ลองไปดูนะ

นับวันโลกใบนี้ยิ่งเต็มไปด้วยตึกละฟ้า ถนนลอยฟ้า ทุกอย่างทำเพื่ออำนวยความสะดวกให้มนุษย์ทั้งนั้น อย่าพูดถึงต้นไม้เลย แค่ต้นหญ้าน้อย ๆ ยังหาได้ยาก จะดีกว่าไหมถ้าเรามาช่วยกัน คืนพื้นที่สีเขียวให้โลกบ้าง ช่วยกันคนละบ้าน ปลูกต้นไม้ไว้บ้านคนละต้น ใครอยู่คอนโดก็เป็นไม้กระถางเล็ก ๆ ก็ได้ เท่านี้ต้นไม้จะคืนโอโซนให้เราด้วย

 “เสือดำ” ความสวยงามของทุ่งใหญ่ ที่ไม่มีใครเคยรู้

เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อ CEO ใหญ่ อิตาเลียนไทย “เปรมชัย กรรณสูตร” และพรรคพวกรวม 4 คน ถูกรวบตัวบริเวณแคมป์ที่พักกลางป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา โดยของกลางที่พบเจอในที่เกิดเหตุได้แก่ อาวุธปืนไรเฟิล ปืนลูกกรด ปืนลูกซอง พร้อมลูกกระสุนสภาพพร้อมใช้อีกจำนวนมาก และสิ่งที่สร้างความสะเทือนใจให้กับทุกสายตามากที่สุดก็คือ ซากเสือดำ ที่ถูกถลกหนังเรียบร้อย พร้อมแช่เกลือ ซากเก้ง และไก่ฟ้าหลังเทา คดีดังกล่าว ท้าทายจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์ป่าทุกหน่วยงาน ตลอดจนกฎหมายทุกมาตรา จนถึงตอนนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และถูกจับตาจากชาวโซเชียลว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นไร จะมีความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับเจ้าเสือดำและสหายสัตว์ป่าไหม

                “เสือดำ” ราชาแห่งสัตว์ป่าที่งดงาม ในกรณีดังกล่าวที่ทำให้ชาวโซเชียลลุกฮือ และสิ่งถูกพูดถึงมากที่สุด เป็นที่กล่าวขานมากที่สุด ก็คงจะเป็นซากของเสือดำ ที่ถูกชำแหละลอกหนังทาเกลือออกมาเสร็จสรรพ แถมยังยัดเก็บไว้ในถุงกระสอบพร้อมขนย้าย กลายเป็นภาพน่าสลดหดหู่มากเลยทีเดียว อันที่จริงการถูกไล่ล่าเกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะความเชื่อว่า “เสือดำ” นำพามาซึ่งอำนาจบารมี ความน่าเกรงขาม น่าเคารพนับถือ ตลอดจนเครื่องในของมัน ที่เชื่อว่าสามารถเป็นยาบำรุงได้

เสือดำ เป็นสัตว์กินเนื้อตระกูลเสือและแมว มีลักษณะสีดำตลอดทั้งตัว ซึ่งเกิดจากความผิดปกติในเม็ดเลือดสีเมลานิซึม ส่งผลให้มีสีดำตลอดทั้งตัว (ซึ่งความจริงมีลายจุดแต่ว่าต้องโดนแสงแดด) สามารถเกิดได้กับเสือหลายชนิด อาทิเช่น เสือดาว เป็นต้น การกำเนิดของเสือดำนั้นถือว่ายากมาก สมมุติว่า เสือดาวหรือเสืออื่น ๆ มีลูก 3-4 ตัว จะคลอดมาเป็น สีดำเพียง 1 เท่านั้น ส่งผลให้จำนวนของเสือดำมีไม่มากนัก ลูกเสือดำมักจะเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ไม่ค่อยอยู่รวมฝูงกับลูกเสือดาวตัวอื่น จึงทำให้เป็นจุดอ่อนและโดนล่าได้ง่าย สำหรับประชากรเสือดำในปัจจุบัน องค์กร WCS เปิดเผยว่า ในโซนเอเชียมีประมาณ 1,000-1,500 ตัว และในประเทศไทยมีเสือดำเพียง 350 ตัวเท่านั้น ก่อนที่จะเป็นเรื่องฮือฮาตอนในตอนนี้ ขอพาย้อนกลับไปในปี 2521 ก็มีข่าวคราวฮือฮา เมื่อมีคนพบเห็นเสือที่ ย่านมักกะสัน กรุงเทพฯ สร้างความแตกตื่นและหวาดกลัว ให้คนที่อยู่แถวนั้นมาก จนถูกตั้งสมญานามว่า “เสือดำมักกะสัน” แต่ต่อมาก็ถูกเจ้าหน้าที่ ไปปล่อยไว้ที่ห้วยขาแข้ง ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นในปีนี้ ย้อนไปเมื่อปลายปี 2561 เราก็ได้เห็นคลิปวิดีโอ เสือดำถูกปล่อยออกมาสู่สายตา ซึ่งแสดงให้เห็นความสมบูรณ์ของผืนป่าแถบนี้ได้เป็นอย่างดี

วิกฤตค่าฝุ่น PM 2.5 !! ป้องกันตัวเองอย่างไรดี?

ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทุกคนในกรุงเทพฯ ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อตื่นขึ้นมา ก็พบว่าหมอกลงกลางกรุงเทพฯ ซะอย่างนั้น แต่แล้วทุกคนก็ต้องเผชิญข่าวใหญ่ที่ค่อนข้างน่าสะพรึง เมื่อควันจาง ๆ ที่ทุกคนคิดว่าเป็นหมอก  กลับกลายเป็นสภาพฝุ่นละอองที่มี ค่า PM เกิน 2.5 ซึ่งเกิดจากอากาศเย็น ความชื้นสูง ทำให้ฝุ่นละอองเกิดขึ้นได้ง่าย และเป็นอันตรายต่อร่างกาย อาจจะสะสม ส่งผลให้เป็นโรคปอด โรคระบบทางเดินหายใจได้

ค่าฝุ่นเกิดมาตรฐาน  2.5 อันตรายอย่างไร?  

ก่อนอื่นเราจะมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 คือ ฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากถึงที่สุด มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่าเส้นผมของคนเรา ถึง 25 เท่าเลยทีเดียว แค่ปกติฝุ่นธรรมดาเราก็แทบจะมองไม่เห็น และเป็นอันตรายต่อปอดกันอยู่แล้ว พอยิ่งเล็กกว่าเดิม โอกาสที่จะเข้าปอดของเราก็ยิ่งมากขึ้นอีกหลายเท่า เรียกได้ว่าอันตรายมาก ๆ ซึ่งถ้าถามว่าฝุ่นภาวะฝุ่นเล็กขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ก็ต้องตอบว่ามลพิษทางอากาศแบบนี้ เกิดขึ้นจากชีวิตประจำวันของมนุษย์เรานี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น การจราจร ควันเสียจากรถรา ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาขยะฯลฯ ประกอบกับเกิดสภาพอากาศนิ่ง ไม่มีลมและชั้นอากาศที่ผกผันใกล้พื้นดิน ทำให้สภาพอากาศเป็นพิษสะสมในปริมาณมาก ส่วนมากจะพบในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน แต่ครั้งนี้ก็น่าแปลกเพราะค่าฝุ่น PM 2.5 ครั้งนี้แลดูจะร้ายแรงกว่าทุกครั้ง จนเป็นข่าวใหญ่โต สร้างความตระหนกไปทั่ว บอกได้เลยว่า ค่าฝุ่นละออง 2.5 นี้ ส่งผลต่อสุขภาพไปในทางที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะมันจะผ่านเข้าสู่จมูก โพรงจมูก ลำคอ หลอดลม และเข้าไปสู่ปอด และถุงลมแบบง่ายดาย ซึ่งอาการในเบื้องต้นที่เกิดขึ้นคือ จาม ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจติดขัด และถ้าสะสมมาก ๆ ก็จะนำไปสู่โรคทางเดินหายใจต่าง ๆ อาทิ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรงมะเร็งปอด ภูมิแพ้ หอบหืด เรียกได้ว่าเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ อาจจะส่งผลต่อระบบประสาท อาเจียน และช็อคได้

ฝุ่นละอองค่า PM เกิน 2.5 หน้ากากธรรมดา ไม่สามารถป้องกันได้

สำหรับการป้องกันค่าฝุ่นดังกล่าวของโฟกัสหนักในเรื่องของหน้ากาก เพราะมีกระแสออกมาว่า หน้ากากธรรมดา กรุงค่าฝุ่นได้แค่ระดับ 3 เท่านั้น นั่นทำให้ไม่สามารถป้องกันค่าฝุ่น 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางที่ดีควรใช้หน้ากากกรองฝุ่นรุ่น R95 สามารถป้องกันได้ฝุ่นน้อยกว่า ค่า 2.5 – 0.3 ก็สามารถ หรืออีกทางหน้ากากกรองอนุภาคไฟฟ้าสถิต ซึ่งสามารถป้องกันฝุ่นที่มาขนาดเล็กว่า PM 0.3 ได้ นอกจากนี้แนะนำให้ล้างมือล้างไม้ให้สะอาด ดื่มน้ำบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การทำงานหนักก่อนออกนอกบ้าน หรือถ้ามีอาการผิดปกติ ก็ควรจะพบแพทย์ เพื่อไม่ให้ทุกอย่างสายเกินแก้