สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าคุณเครียด แต่คุณไม่รู้ตัว

ความเครียดที่มากเกินไปส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา หากว่าเรารู้ว่าเราเครียด เราก็สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้ทันทีที่ต้องการ แต่ในหลาย ๆ กรณี คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเครียด ความเครียดเกิดขึ้นได้ทุกวันและความเครียดในปริมาณที่พอดีเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อเรา เช่น เครียดว่าจะนำเสนองานออกมาได้ไม่ดีก็เลย เตรียมตัวมาอย่างดี เครียดว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ ก็เลยตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากมันมากเกินไปมันจะทำให้พฤติกรรมในชีวิตของเราเปลี่ยนไป แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัว

  1. เป็นคนขี้ลืม การลืมสิ่งต่าง ๆ อย่างง่ายดาย เช่น ลืมกุญแจรถ เปิดไฟในห้องน้ำทิ้งไว้ ลืมหยิบขยะไปทิ้ง ลืมกุญแจบ้าน อาจจะไม่ใช่อาการหลงลืมทั่วไป เพราะความเครียดและความกระวนกระวายทำให้ความสามารถในการจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ หรือความใส่ใจลดลง ความเครียดที่ต่อเนื่องและยาวนานสามารถลดความสามารถของสมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ ความจำและระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับอาการนี้คือการออกกำลังกาย
  2. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือลดลงอย่างรวดเร็ว หลาย ๆ คนเมื่อมีอาการเครียด อาการนี้จะส่งโดยตรงต่อพฤติกรรมการกินทันที เช่น บางคนกินมากกว่าปกติหรือไม่สามารถหยุดกินได้ บางคนกินน้อยกว่าปกติหรือกินไม่ลงซึ่งส่งผลโดยตรงต่อน้ำหนักตัวของคนนั้น ๆ
  3. ประจำเดือนมาผิดปกติ ความเครียดส่งผลให้ฮอร์โมนของผู้หญิงไม่สมดุล ทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้หญิงคนนั้นมีความเครียดสะสม ซึ่งอาจจะเกิดจากการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว อาการนี้สามารถแก้ไขได้โดยการออกกำลังกาย
  4. ปวดท้อง ระบบประสาทของมนุษย์เชื่อมต่อกับระบบทางเดินอาหารและความเครียดส่งผลต่อการเชื่อมต่อนั้น ความรู้สึกปวดท้องไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการกินเสมอไป
  5. นอนมากเกินไป ความเครียดทำให้สมองปล่อยอดีนารีนออกมามากเกินไป ซึ่งเมื่อเราได้รับสารนี้มากเกินไปจนเกิดอาการง่วงนอน แต่เมื่อนอนไปแล้วก็จะทำให้นอนไม่เต็มอิ่มเนื่องจากหลับ ๆ ตื่น ๆ และฝันร้าย พอตื่นขึ้นมาก็มีอาการเหนื่อย หากเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าตามมาได้
  6. นอนไม่หลับ บางคนนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ย้ายที่นอนบ่อย ๆ แล้วยังมีอาการนอนไม่หลับ เกิดขึ้นจากความเครียด มีเรื่องในหัวให้คิดมากมาย เกิดความกังวลใจเกิดขึ้น และระบบประสาทก็ไม่สามารถหยุดทำงาน การนอนไม่หลับทำให้ร่างกายไม่ได้ฟื้นตัว และไม่ได้รับการพักผ่อนซึ่งก่อให้เกิดโรคหลายโรคตามมา หากนอนไม่หลับทุกคืน มากกว่า 2 อาทิตย์ขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อได้อ่านบทความที่กล่าวมาทั้งหมดในเบื้องต้นแล้วและค้นพบว่าตัวเองมีอาการเครียดและอยากรับมือหรือขอความช่วยเหลือก็สามารถทำได้ทันที และอาการเครียดส่วนใหญ่หากยังไม่ใช่โรค สามารถแก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกาย เนื่องจากการออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลั่งเอ็นดอร์ฟินออกมา ทำให้คลายเครียดและคลายความเจ็บปวด แต่หากกลายเป็นโรคแล้วก็ต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที

กินคลีนเพื่อสุขภาพ หรือสร้างภาพตามกระแสสังคม

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น เริ่มมีการแบ่งเวลาในการดูแลรูปร่างหน้าตา ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ จึงทำให้กระแสการรับประทานอาหารคลีนได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

หากจะให้พูดถึงคำว่า อาหารคลีน เชื่อได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะอาหารคลีนถือเป็นอาหารยอดฮิตที่คนรักสุขภาพมักจะนิยมรับประทาน โดยเฉพาะสำหรับหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก หรือดูแลรูปร่างสัดส่วนอาหารคลีนจึงแทบจะเป็นอาหารมื้อหลักในชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงหลักการรับประทานและประโยชน์ที่ได้รับจากการทานอาหารคลีนอย่างแท้จริง

กินคลีนเพื่อสุขภาพหรือกระแสนิยม

หลักการที่ถูกต้องของการดูแลสุขภาพต้องประกอบด้วยอย่างน้อย 3 ส่วนหลัก คือ

  1. 1. การออกกำลังกาย ไม่มีกฎหรือทฤษฎีใดที่บ่งบอกอย่างตายตัวว่า คนเราควรออกกำลังกายกี่ชั่วโมงต่อวัน ขอเพียงแค่คุณได้ขยับในระหว่างวันทำงาน แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว
  2. 2. การรับประทานอาหาร คงไม่มีใครที่อยากจะรับสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายเป็นอย่างแน่ ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกเสียมากกว่า
  3. 3. การพักผ่อนที่เพียงพอ หนุ่มสาวยุคใหม่มักจะนอนดึกตื่นเช้า ซึ่งถือเป็นค่านิยมที่ผิดเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ร่างกายไม่พร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง

ทั้งสามส่วนข้างต้นถือว่าเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ควรปฏิบัติให้ควบคู่กันไป เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อร่างกาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่กำลังกลายเป็นกระแสนิยมที่ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วง คือ วิธีการเลือกรับประทานอาหาร คนส่วนมากมักจะหันไปให้ความสนใจกับอาหารคลีนมากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงาน มักเลือกวิธีการรับประทานอาหารคลีนเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการออกกำลังกาย หรือใส่ใจในเรื่องของการพักผ่อน บางคนรับประทานอาหารคลีนเป็นมื้อหลัก แต่ยังคงติดนิสัยกินของทอดของมันเช่นเดิม จึงไม่ค่อยมั่นใจว่า การรับประทานอาหารคลีนนั้น มีจุดประสงค์เพื่อต้องการดูแลตัวเองอย่างแท้จริง หรือเพียงแค่ต้องการทำตามกระแสนิยมของสังคมปัจจุบันกันแน่

หากวันนี้คุณกำลังเป็นคนที่ปฏิบัติครบทั้ง 3 ส่วน นั้นแสดงว่าคุณคือคนที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง แต่ถ้าถามว่าการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพียงสองอย่างผิดหรือ คำตอบคือไม่ผิด เพราะไม่ว่าคุณจะทำกี่อย่าง มันก็คือวิธีการดูแลตัวเองทั้งสิ้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สุขภาพรูปร่างหน้าตาที่ดี แต่หากวันนี้คุณคือคนที่บอกกับตัวเองและคนอื่น ๆ ว่า ฉันเป็นคนใส่ใจสุขภาพ โดยเลือกกินอาหารคลีนเพื่อรูปร่างและร่างกายที่แข็งแรง ก็ขอให้คุณลองพิจารณาเพื่อความมั่นใจอีกสักครั้งว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ คือการดูแลตัวเองหรือกำลังเดินตามกระแสสังคม เพราะบางทีการที่คุณเลือกเพียงแค่วิธีการเดียว อาจจะไม่ได้สุขภาพและร่างกายที่ดีขึ้น แต่กลับจะทำให้ย่ำแย่ลงก็เป็นได้

 

เปิดประสบการณ์โหดร้ายเข้าใจผิดคิดว่าผอมแล้วสวย อุทาหรณ์ของสาวคลั่งผอม

จะเห็นว่าตลอดมานั้นสื่อหลาย ๆ แขนงไม่ว่าจะเป็นโฆษณาที่ถูกผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสายเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของผู้หญิง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทลดหรือควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีการจ้างดาราหรือนางแบบหุ่นสวยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เมื่อผู้บริโภคได้เสพโฆษณาประเภทนี้เข้าไปมาก ๆ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจว่าตนจะต้องผอมมาก ๆ ถึงจะได้เป็นคนสวย อิทธิพลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างอันตรายต่อเยาวชนหรือคนที่เสพสื่อประเภทนี้เข้าไปมาก ๆ โดยไร้วิจารณญาณ เพราะจะส่งผลให้เกิดการลดน้ำแบบผิดวิธีที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้ในระยะยาว

เรื่องราวอุทาหรณ์นี้เป็นสิ่งที่ถูกแชร์มาจากเว็บไซต์ชื่อดังของไทย โดยมีเด็กสาววัย 18 ปีเท่านั้นเข้ามาเผยแพร่ประสบการณ์เฉียดตายของตัวเองจากโรคคลั่งผอม เนื่องมาจากเธอต้องการมีกล้ามหน้าท้องเหมือนนักแสดงหญิงที่เธอปลื้มจึงพยายามออกกำลังอย่างหนักทุกวันทั้งก่อนนอนและก่อนไปโรงเรียนในตอนเช้า อีกทั้งยังควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดและล้วงคอเอาอาหารออกมาทุกครั้งหลังรับประทานเสร็จ จนน้ำหนักของเธอเหลือเพียง 37 กิโลกรัม ส่วนสูง 161 เซนติเมตร แม่ของเธอสังเกตเห็นกระดูกไหปลาร้าและกระดูกสันหลังที่ขึ้นโง้งจนสั่งให้เธอหยุดออกกำลังกายและหยุดการควบคุมอาหารทุกอย่าง หลังจากนั้นเธอก็ได้ไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาโรคคลั่งผอมนี้

อีกหนึ่งเหตุการณ์เป็นเรื่องของนักเรียนไทยวัยเพียง 14 ปี ที่เป็นโรคคลั่งผอม เนื่องจากถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเรียกว่าไอ้อ้วนทั้ง ๆ ที่ค่า BMI ของเธอก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ การเชื่อคำพูดดของเพื่อน ๆ ครั้งนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องลดน้ำหนักแล้ว โดยเธอใช้วิธีออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอทุกชนิด ควบคุมการกินทุกอย่างด้วยการนับแคลลอรี่จนไม่สามารถทานอาหารปกติได้ เพราะเธอเชื่อว่าการทารแต่อาหารเหลว ๆ จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เร็วกว่าและไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งยังล้วงคออ้วกทุกครั้งหลังจากที่ทานข้าวนอกบ้านกับครอบครัว จนน้ำหนักของเธอลดลงไปถึง 20 กิโลกรัม แต่หลังจากนั้นไม่นานผลกระทบต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นกับร่างกายเธอเนื่องจากความผอม เธอไม่สามารถออกกำลังหนัก ๆ ได้อีกต่อไป เพราะเมื่อหายใจเข้าแรง ๆ ปอดจะขยายจนไปชนกับซี่โครง เธอมีอาการผมร่วง เวียนหัวง่าย เลือดจาง และเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งปัจจุบันเธอรักษาอาการนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

การดูแลสุขภพนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ความกังวลเรื่องสุขภาพหรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไปนั้นก็เป็นผลร้ายที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังสามารถเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคซึมเศร้าที่มีผลต่อสมองและกระบวนการคิดได้อีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรควรอยู่ในความพอดีที่ไม่สุดโต่งจนเกินไป

 

งดเหล้าเข้าพรรษา ทำอย่างไรให้ได้ผลจริง อย่าให้คิดได้ก็สายเสียแล้วแบบใครหลายคน

การงดเหล้าเข้าพรรษา ถือเป็นการรณรงค์ให้คนที่ติดเหล้าทำดีให้กับตนเอง คนที่คุณรักหรือสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง  แต่จะดีกว่าไหม ถ้าสามารถเปลี่ยนจากการงดเหล้าแค่ช่วงเข้าพรรษามาเป็นการเลิกเหล้าถาวร โดยใช้ช่วงเข้าพรรษาเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งนอกจากเป็นการเริ่มต้นการเลิกเหล้าแล้ว ยังเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยการใช้โอกาสจากเทศกาลงานบุญ

ลดการทำบาป  เพื่อให้สุขภาพกาย สุขภาพจิต และสังคมดีขึ้น

แต่สำหรับคนที่ดื่มเหล้ามานาน ติดอย่างหนัก อาจจะเป็นเรื่องยากในการที่จะเลิกดื่มเหล้า ไม่ว่าเข้าพรรษาหรือเทศกาลใดก็คงเลิกไม่ได้  แนะนำให้มุ่งมั่นตั้งปณิธานว่าเราต้องทำได้ และทำอย่างจริงจัง นึกถึงผลเสียของการดื่มเหล้าว่าชีวิตจะพังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว การงาน สุขภาพ จนสุดท้ายพังถึงขั้นเสียชีวิตก็เพราะพิษสุรา

ผลเสียของการดื่มเหล้า

การดื่มเหล้าเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้หลายโรค ประสิทธิภาพในการทำงาน การทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง และยังส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม อาชญากรรม และอุบัติเหตุต่าง ๆ

ขั้นตอนและวิธีการเลิกเหล้า

  1. ตั้งเป้าหมายว่าจะเลิกเหล้าเพื่อใคร หรือเพื่ออะไร เริ่มเมื่อไหร่ และจะเลิกให้สำเร็จภายในระยะเวลาเท่าใด โดยระเวลาสิ้นสุดนี้ยืดหยุ่นได้ตามความสามารถในการปรับสภาพของร่างกายในช่วงเลิกเหล้า
  2. บอกคนในครอบครัวให้เป็นกำลังใจ
  3. วางแผนค่อย ๆ ลดปริมาณ และความถี่ในการดื่มลงไปเรื่อย ๆ อย่าเลิกทันทีเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดอาการขาดเหล้าเฉียบพลันได้
  4. รู้จักปฏิเสธคน คนดื่มเหล้าบางครั้งก็เพราะเพื่อนชวน หรือต้องเข้าสังคม งานสังสรรค์ต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องรู้จักปฏิเสธ เช่นอาจปฏิเสธว่าพรุ่งนี้มีประชุมเช้า หรือหมอสั่งห้าม ฯลฯ
  5. เก็บอุปกรณ์และขวดเหล้า ที่ทำให้เปรี้ยวปากอยากเหล้าให้มิดชิด
  6. เปลี่ยนกิจกรรม ในช่วงเวลาที่เคยดื่มเหล้าประจำ หันมาทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน เช่น การออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้ พักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัว หรือทำอย่างอื่นที่ชอบหรือสนใจ
  7. ไม่ไปเที่ยวคลับ บาร์ งานปาร์ตี้วันศุกร์ ที่เป็นสถานที่แก๊งคอทองแดงมารวมตัวกันเป็นประจำ
  8. ตั้งใจทำอย่างจริงจัง ไม่ลังเล อย่าท้อ หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่าโทษตนเอง ให้เริ่มต้นใหม่ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ สอบถามเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วนเลิกเหล้า 1413

สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับคนที่ต้องการเลิกเหล้าคือ “กำลังใจ” จากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิดที่

สนิทสนมที่มีความสัมพันธ์แนบแน่น เช่น เพื่อนสนิท ลูกน้องที่รู้ใจ ฯลฯ ต้องส่งเสริมสนับสนุน ชื่นชม และเชื่อมั่นว่าเขาทำได้แน่นอน อย่าดูถูก สบประมาทว่าเขาทำไม่ได้ เพราะการที่ใครสักคนคิดจะเลิกเหล้า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แสดงว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น จึงคิดจะทำ ถ้าเขาทำได้ ทำสำเร็จ มันไม่ใช่ชีวิตเขาเท่านั้นที่จะดีขึ้น ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ก็จะดีขึ้นด้วย เพราะปัญหาต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากการดื่มเหล้า เช่น อุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับก็จะลดลง

 

การทำสมาธิในยุคดิจิทัลไม่ยากอย่างที่คิด ฝึกบ่อยชีวิตเปลี่ยน

จากการเสพสื่อในสังคมยุคดิจิทัลที่มีข่าวสารมากมายที่เข้าถึงได้ง่าย และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว อาจนำพามาซึ่งความเครียด อารมณ์หงุดหงิด และความว้าวุ่นใจมาสู่ชีวิตของคุณ ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้อย่างไม่รู้ตัว จากสถิติที่มีการได้ทำการบันทึกไว้ คนไทยใช้อินเทอร์เน็ต 57 ล้านคน หรือประมาณ 82% ของประชากร ที่สำรวจโดย We are social และ Hootsuite ในปี 2018 แถมมาด้วยแชมป์โลกด้านการใช้เวลาท่องอินเทอร์เน็ตมากที่สุด เฉลี่ย 9 ชั่วโมง 38 นาทีต่อวัน ก็ไม่น่าแปลกใจที่ข้อมูลจากสถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยูโพล) ได้มีการจำแนกความเครียดในคนไทยในด้านต่าง ๆ ถึง 10 ด้านด้วยกัน คือ ด้านเศรษฐกิจและการเงิน ด้านครอบครัว ด้านเพื่อน ด้านความรัก ด้านการงาน ด้านสุขภาพ ด้านการเรียน ด้านการเมือง ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านที่เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งมีวิธีแก้ไขความเครียดโดยการพยายามหากิจกรรมที่ผ่อนคลายความเครียด หรืองานอดิเรกที่ชื่นชอบต่าง ๆ โดยแท้จริงแล้วเคล็ดลับง่าย ๆ ที่นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้ให้คำแนะนำไว้ก็คือ การทำสมาธิให้จิตใจผ่องใส เพียงวันละ 10 – 30 นาที ก็สามารถเป็นวิธีลดความเครียดที่ได้ผลดีมาก

การฝึกทำสมาธิ ไม่เพียงแต่เฉพาะคนไทยที่รู้จัก แต่ยังเป็นวิธีการพื้นฐานของคนทั่วโลก และเริ่มเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการทำจิตใจให้สงบ พักสมองให้หยุดคิดเรื่องที่กังวลอยู่ และจดจ่ออยู่กับการหายใจเข้าออกอย่างเป็นระบบ การฝึกทำสมาธินี้มีผลงานวิจัยมากมาย ที่ค้นพบว่าสามารถช่วยรักษาโรคต่าง ๆได้ เช่น โรคหอบหืด และโรคไมเกรน และยังช่วยลดอาการซึมเศร้าอีกด้วย รวมถึงช่วยให้การทำงานของระบบการเผาผลาญอาหาร และระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น

เสพสื่ออย่างมีเหตุและผล มีสมาธิและสติ เลือกรับข่าวสารที่ดีมากขึ้น

                ข่าวสารที่ได้รับตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ควรที่จะเชื่อถือในทันทีทันใด เพราะยุคดิจิทัลนี้ ใคร ๆ ก็เขียนข่าวได้ การฝึกทำสมาธิจะช่วยให้เกิดสติ ดังที่กระทรวงสาธารณสุขได้เน้นประเด็นเรื่อง “สติ วิถีแห่งสุขภาพดี” เพราะคนไทยมีอัตราการเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้น ดังนั้นการทำสมาธิและเสพสื่ออย่างมีสติจะช่วยบรรเทาอาการเครียดและวิตกกังวลที่จะนำสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ ข้อแนะนำในการเสพสื่อออนไลน์มีอยู่มากมาย เช่น การอย่าเพิ่งด่วนสรุปข่าวนั้น อย่าเพิ่งใส่อารมณ์ความรู้สึกของตนเองมากเกินไปหลังจากที่ได้อ่าน และไม่ควรเสพสื่อตลอดเวลา ควรมีการกำหนดเวลาในการเสพสื่อต่าง ๆ และใช้เวลากับธรรมชาติหรือกิจกรรมที่ชื่นชอบให้มากขึ้น และพยายามแชร์ข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้จริง ๆ

อย่ากลัว ! รู้จัก “โรคซึมเศร้า” พร้อมวิธีป้องกัน

ในรอบปีที่ผ่านมีข่าวออกมาให้แฟนคลับสะเทือนใจกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเสียชีวิตของ เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำวงร็อคระดับโลก Linkin Park เมื่อกลางปี 60 และตามมาด้วยกรณีข่าวการชีวิต ของ คิม จงฮยอน นักร้องเกาหลีชื่อดัง สมาชิกวง SHINee เมื่อตอนปลายปีที่แล้ว ทั้งสองกรณีดังกล่าว สร้างความสะเทือนใจและกลายเป็นเรื่องช็อกระดับโลก เพราะนักร้องดังทั้งสอง จากโลกนี้ไปด้วย “ฆ่าตัวตาย” โดยมีสภาวะเดียวกันคือ อาการซึมเศร้า หรือที่เรียกกันติดปากว่า “โรคซึมเศร้า” ซึ่งข่าวดังทั้งสอง ส่งผลต่อสภาพจิตใจของแฟนคลับ และผู้ที่ได้ยินเรื่องราว จนกลายเป็นกระแส ที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจ และรณรงค์ร่วมป้องกันโรคซึมเศร้า วันนี้เราขอเป็นอีกหนึ่งพลังเสียง ที่จะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคซึมเศร้าให้ดีกว่าเดิม รวมทั้งแนวทางการป้องกันโรคนี้ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจได้มากขึ้น

รู้ไว้ก่อนโรคซึมเศร้าคืออะไร?

โรคซึมเศร้า เป็นโรคหนึ่งซึ่งสามารถเกิดได้ในช่วงชีวิตของเรา ไม่ต่างจากโรคทางกายอื่น ๆ ซึ่งมี สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลักได้แก่
1.ปัจจัยทางชีวภาพหรือพันธุกรรม สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ความผันผวนของระดับฮอร์โมนสำคัญ สืบทอดมาจากพ่อแม่สู่ลูก

2.ปัจจัยด้านจิตใจหรือสิ่งที่แวดล้อมที่เรียกว่าปัจจัยทางอารมณ์ การพบเจอเหตุการณ์ ต่าง ๆ เช่น ความผิดหวัง การหย่าร้าง สูญเสียคนรัก เป็นต้น

ซึ่งก่อนอื่นต้องบอกว่าคนซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า คนผู้นั้นจะเป็นคนอ่อนแอไม่สู้ ไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพียงการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง ที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการใช้ยา และการรักษาทางจิตใจร่วมกัน โรคซึมเศร้า เหมือนภัยเงียบที่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน ที่เป็นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ปัจจัยสำคัญที่ทำกระตุ้นให้เกิดอาการซึมเศร้าได้แก่ ความตึงเครียด และสภาพจิตใจย่ำแย่ที่ถูกสะสมมานาน โดยส่วนมากคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเริ่มเป็นตอนอายุ 25 ปีขึ้นไป

การป้องกันโรคซึมเศร้า

สำหรับผู้ที่เริ่มเครียด นอนไม่ค่อยหลับ หงุดหงิดไม่มีสมาธิ รู้สึกหาทางออกไม่เจอ ก่อนที่จะเข้าสู่สภาวะซึมเศร้า เราสามารถป้องกันตัวเองด้วยได้ ด้วยวิธีเหล่านี้

                ทำสมาธิ การทำสมาธิช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้คลื่นสมองผ่อนคลาย หัวใจเต้นเป็นปกติ ควบคุมสมดุลของเคมีต่าง ๆ ได้ดี  สามารถทำได้ ทั้ง นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ หรือเย็บปักถักร้อยก็เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง
                พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกาย ไม่หมกมุ่นคิดมาก ถ้ารู้สึกว่าเครียด หรือเหนื่อยล้า ให้หากิจกรรมที่ตัวเองชอบทำเพื่อผ่อนคลาย เช่น ชมภาพยนตร์ ฟังเพลง เป็นต้น

เมื่อรู้สึกตัวว่าเราอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีความสุขกับชีวิตซะแล้ว ต้องไม่บังคับตัวเอง หรือบีบให้ทำในสิ่งที่ยากเกินไป ต้องค่อย ๆ ทำ ไม่กดดัน และที่สำคัญต้องยอมรับว่า อาการซึมเศร้าไม่ใช่โรคร้าย และไม่ใช่ตัวหลักที่จะทำให้เราอ่อนแอ และควรกล้าที่จะไปพบแพทย์

แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย… ชวนเพื่อนๆ มาออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง

แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว คงเคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ มักจะชอบพูดกับตัวเองและคนอื่นๆว่าไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ให้ไปออกกำลังกาย ความจริงแล้ว ไม่ต้องมีเวลามากมาย เพียงแค่วันละ 30 นาที อย่างน้อย 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ก็พอแล้ว การออกกำลังกายจะเกิดผลดีกับปอดและหัวใจ ทำให้เหนื่อยยาก ขึ้น ร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องมีพื้นที่มากมาย หรือ อุปกรณ์การออกกำลังกายแพงๆอะไร มีแค่พื้นที่ในการเดินก็เพียงพอแล้ว

Continue reading

ลดน้ำหนัก… ไม่ยากอย่างที่คุณคิด

เมื่อพูดถึงโรคที่คนเป็นเยอะที่สุดก็ต้องเป็นมะเร็งเพราะคนที่เป็นไม่สามารถหายขาดได้ แต่ดูแลให้ดีขึ้นได้คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่ามะเร็งจะเกิดจากสาเหตุใดบ้าง แต่รู้ไหม ยังมีอีกโรคหนึ่ง ที่ใกล้ตัวคนไทยมาก เป็นอันดับ2 รองจากโรคมะเร็ง ก็คือโรคอ้วน สำรวจจากสถิติ ประเทศในอาเซียน คนไทยมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรืออ้วนเป็นอันดับ2ของอาเซียน นั่นเอง

Continue reading