มอเตอร์สปอร์ตกับสนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

นับเป็นปีที่สองแล้วสำหรับสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ได้จัดการแข่งขันประชันความเร็วระดับโลกของสิงห์นักบิดระดับเวิลด์คลาส ในชื่อรายการ ‘พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019’ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปีนี้จำนวนผู้เข้าชมมากถึง 226,655 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงสี่พันกว่าคน นับเป็นการเริ่มต้นที่งดงาม สำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ต ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย

การลงทุนที่คุ้มค่า

การลงทุนกับกีฬาระดับโลกมักใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล เฉกเช่นนโยบายของคุณเนวิน ชินชอบ ที่ต้องการสร้างเมืองบุรีรัมย์ให้กลายเป็นเมืองกีฬามาตรฐานโลก บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต หรือ ช้าง อินเตอร์เตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ภายใต้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการของเบียร์ช้างจึงถือกำเนิดขึ้นมา สนามแห่งนี้ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ สำหรับการจัดแข่งขันรถสูตรหนึ่ง (ฟอร์มูลาวัน) และรถจักรยานยนต์ที่เรียกกันว่าโมโตจีพีอย่างเป็นทางการ ในเดือน ตุลาคม ปี 2561 สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตจึงได้มีโอกาสต้อนรับการแข่งขันโมโตจีพี ฤดูกาล 2018 ซึ่งเป็นสนามที่ 15 จากจำนวน 19 สนามแข่งทั่วโลก การจัดแข่งขันโมโตจีพีครั้งนี้ ถือเป็นการจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ในครั้งนี้ทางสนามช้างได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัท คอร์น่า สปอร์ต เป็นระยะ 3 ปีด้วยกัน

สำหรับแชมป์เจ้าความเร็วคนแรก ที่ได้ฉลองชัยชนะสมัยที่ 8 ของตัวเองในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ก็คือ มาร์ค มาร์เกซ สิงห์นักบิดจากสเปน ภาพความสำเร็จเหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดให้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึง 800 ล้านคน ถือว่าเป็นการโปรโมทสนามประลองความเร็วที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย

รัฐบาลต้องเข้ามาเกื้อหนุน

ลิขสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับเวิลด์คลาสอย่างโมโตจีพี การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบนั้น ใช้เงินลงทุนที่สูงถึง 400 ล้านบาท สำหรับระยะ 3 ปีที่ครอบครองลิขสิทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนั้นทางการกีฬาแห่งประเทศไทยจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยเป็นตัวกลางหารือกับรัฐบาล ภายหลังได้เปิดเผยว่าหลังจากเจรจากับ ‘ดอร์น่า สปอร์ต’ เจ้าของลิขสิทธิ์โมโตจีพีรัฐบาลก็เปิดไฟเขียวให้ดำเนินการได้ โดยเงินลงทุนในค่าลิขสิทธิ์นั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน คือภาครัฐ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นของภาคเอกชน สัญญาลิขสิทธิ์เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2018-2020 หากจะมองถึงความคุ้มค่าในการลงทุนครั้งนี้ล่ะก็ ถือว่าไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการแข่งขันระดับโลกที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย หลายคนที่เป็นแฟนกีฬาความเร็ว น่าจะทราบดีว่าถ้าจะดูการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบแล้วล่ะก็ คงต้องเดินทางไปถึงมาเลเซียหรือญี่ปุ่น แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้นในประเทศไทยละ ‘ไม่น่าพลาด’  

นอกจากมองในแง่ของกีฬามอเตอร์สปอร์ต ที่ได้ใจคอความเร็วแล้ว ยังส่งผลถึงการท่องเที่ยวของประเทศอีกด้วย เพราะการแข่งโมโตจีพีใช้เวลาหลายวัน เมื่อจบเกมนักท่องเที่ยวย่อมวางแผนเที่ยวที่อื่นพ่วงเข้ามาด้วย ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและระดับประเทศอย่างแน่นอน